ตะคริวนั้นมักจะไม่เป็นอันตรายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เจ็บ ตะคริวนั้นเกิดจากการที่กล้ามเนื้อหดตัวอย่างฉับพลันและไม่คลาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นกล้ามเนื้อมัดใดก็ได้รวมถึงที่นิ้วเท้าด้วยเช่นกัน
คนส่วนใหญ่มักจะเป็นตะคริวแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิต พวกเราใช้นิ้วเท้าทุกวันในการเดิน ดังนั้นพวกมันจึงได้รับการออกกำลังกายเป็นประจำแม้ว่าคุณจะไม่ใช่นักกีฬาก็ตาม อย่างไรก็ตามบางคนจะมีแนวโน้มที่จะเกิดตะคริวได้มากกว่าคนอื่นๆ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
คนส่วนใหญ่สามารถรักษาอาการตะคริวที่นิ้วเท้าได้เองที่บ้านด้วยวิธีต่อไปนี้ แต่ถ้าหากคุณพบว่าอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรไปพบแพทย์
ยืดมันออก
โดยปกติแล้วการออกกำลังกายเพื่อยืดและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อนั้นจะช่วยป้องกันการเป็นตะคริวได้ วิธีต่อไปนี้เป็นวิธีที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเท้าของคุณ
- เขย่ง ให้ยกส้นเท้าขึ้นจากพื้นและให้เหลือเพียงนิ้วเท้าและจมูกเท้านั้นสัมผัสกับพื้น ค้างไว้ 5 วินาทีก่อนลดระดับลงกลับมายืน ทำซ้ำ 10 ครั้ง
- กดปลายเท้าลง กดปลายเท้าลงจนทำให้นิ้วโป้งนั้นเหมือนชี้ไปที่ทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ค้างไว้ 5 นาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง
- งอนิ้วเท้าทุกนิ้วลงเหมือนกับพยายามจะหลบเข้าไปอยู่ใต้เท้า ค้างไว้ 5 วินาทีและทำซ้ำ 10 ครั้ง หรืออาจจะใช้วิธีวางผ้าไว้ที่พื้นและใช้นิ้วเท้าหยิบขึ้นมาก็ได้
- เก็บลูกแก้ว วางลูกแก้ว 20 ลูกไว้บนพื้น แล้วค่อยๆ ใช้เฉพาะนิ้วเท้าในการหยิบทีละลูกขึ้นมาใส่ชาม
- เดินในทราย หากคุณอาศัยอยู่ใกล้ทะเล การเดินเท้าเปล่าบนพื้นทรายนั้นจะสามารถช่วยนวดและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อเท้าและนิ้วเท้าได้
ประคบร้อนหรือเย็น
- ร้อน ความร้อนนั้นจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงตัวผ่อนคลาย ให้ประคบผ้าขนหนูอุ่นหรือแผ่นความร้อนเข้าที่บริเวณนิ้วเท้าที่เป็นตะคริว หรืออาจจะแช่เท้าลงในน้ำอุ่นก็ได้
- เย็น ความเย็นนั้นจะช่วยบรรเทาอาการปวด ค่อยๆ นวดนิ้วเท้าโดยใช้น้ำแข็งห่อด้วยผ้าขนหนู อย่าวางน้ำแข็งลงบนผิวหนังโดยตรงเด็ดขาด
กินเกลือแร่
เหงื่อที่ออกนั้นทำให้ร่างกายมีการสูญเสียเกลือและแร่ธาตุโดยเฉพาะแคลเซียม โพแทสเซียมและแมกนีเซียม ยาบางชนิดเช่นยาขับปัสสาวะนั้นก็ทำให้ร่างกายเสียแร่ธาตุเช่นกัน หากคุณได้รับแคลเซียม (1000 มิลลิกรัม), โพแทสเซียม (4700 มิลลิกรัม) และแมกนีเซียม (400 มิลลิกรัม) ต่อวันไม่เพียงพอนั้น
สามารถเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้เพื่อเพิ่มเกลือแร่ได้
- โยเกิร์ต นมไขมันต่ำและชีส ล้วนแต่มีแคลเซียมสูง
- ผักโขมและบรอคโคลี่นั้นเป็นแหล่งของโพแทสเซียมและแมกนีเซียม
- แอลมอนด์นั้นมีแมกนีเซียมสูง
- กล้วยมีโพแทสเซียมสูงและดีสำหรับช่วงเวลาก่อนออกกำลังกาย
เปลี่ยนรองเท้า
ชนิดของรองเท้าที่ใส่นั้นอาจจะทำให้เป็นตะคริวที่นิ้วเท้าได้ ตัวอย่างเช่นการใส่รองเท้าส้นสูงทั้งวันนั้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตะคริวที่เท้า เพราะรองเท้าส้นสูงนั้นจะบีบนิ้วเท้าและเพิ่มแรงกดดันไปที่จมูกเท้า
นักเต้น นักวิ่งและนักกีฬานั้นอาจจะเกิดตะคริวจากการที่ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะกับรูปเท้า ควรมองหารองเท้าที่ด้านหน้ากว้างและหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงหากมันทำให้คุณไม่สบายเท้า
สาเหตุที่ทำให้เกิดตะคริวที่เท้า
กิจกรรมทางกาย
การขาดน้ำและออกกำลังกายมากเกินไปนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตะคริวได้บ่อยในระหว่างออกกำลังกาย เวลาที่ร่างกายขาดน้ำ ระดับเกลือแร่ในร่างกายจะลดลงและทำให้เกิดตะคริวได้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อายุ
เมื่อมีอายุมากขึ้น จะสูญเสียมวลกล้ามเนื้อไป ทำให้กล้ามเนื้อที่เหลืออยู่นั้นต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้นตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หากคุณไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อก็อาจจะเครียดได้ง่ายขึ้นและทำให้เกิดตะคริว
โรคบางโรค
ตะคริวนั้นอาจจะพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคบางโณคเช่นเบาหวานหรือโรคตับ ผู้ที่เป็นเบาหวานนั้นจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่เส้นประสาทที่นิ้วมือและนิ้วเท้าถูกทำลาย และเมื่อเส้นประสาทเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดและเป็นตะคริวได้ หากตับของคุณทำงานผิดปกติ จะไม่สามารถกำจัดสารพิษออกจากเลือดได้ ซึ่งสารพิษเหล่านั้นอาจทำให้เกิดตะคริวได้เช่นกัน
ยาบางชนิด
ในผู้ป่วยบางราย ยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดตะคริวได้ เช่นยขับปัสสาวะและยาลด cholesterol เช่นยาในกลุ่ม statin และ nicotinic acid
การขาดเกลือแร่
การที่มีโซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียมหรือแมกนีเซียมในร่างกายต่ำนั้นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตะคริวได้ แร่ธาตุเหล่านี้สำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทรวมถึงความดันโลหิต
สรุป
นิ้วเท้าของคุณอาจจะเป็นตะคริวได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนมากมักไม่ได้เป็นอันตรายและมีวิธีง่ายๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้