1. ทุพโภชนาการ (Malnutrition)
ส่วนใหญ่เป็นการขาดสารอาหารมีเฉพาะบางกลุ่มที่มีการได้สารอาหารเกิน การขาดสารอาหาร มักพบในทารกที่ไม่ได้รับประทานนมมารดา และเด็กวัยก่อนเรียนแก้ไขได้โดยส่งเสริมให้เลี้ยงทารกด้วยนมมารดาและให้อาหารเสริมอย่างถูกต้องตามวัย
2. โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
พบในสตรีวัยเจริญพันธุ์ เพราะต้องเสียโลหิตเป็นประจำทุกเดือน สตรีระยะตั้งครรภ์และระยะสร้างน้ำนม และยังพบในทารกและเด็กก่อนวัยเรียนเนื่องจากรับประทานอาหารไม่พอ ร่วมกับการมีพยาธิปากขอ ทำให้เสียโลหิตเป็นประจำ แก้ไขโดยการแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก เช่น ตับ, เลือด, ผักเขียวเข้ม และอาจเพิ่มธาตุเหล็กในอาหารที่บริโภคเป็นประจำวัน เช่น มีการเพิ่มธาตุเหล็กเข้าในน้ำปลา หรืออาจต้องใช้ในรูปของยา ซึ่งธาตุเหล็กในรูปของยาอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้ารับประทานมากเกินไป โดยเฉพาะในภาคเหนือ ภาคอิสาน ที่มีประชากรส่วนหนึ่งโลหิตจางจากโรคกรรมพันธุ์ เช่น ทัลลัสซีเมีย (Thallassemia)
ตรวจแร่ธาตุวิตามินวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 68%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
3. การขาดวิตามิน เอ
มักพบเป็นเด็กที่ขาดโปรตีนและแคลอรี่มากเนื่องจากวิตามินเอต้องใช้โปรตีนเป็นตัวพาไปยังอวัยวะต่าง ๆ วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ถ้าบริโภคไขมันต่ำอาจเกิดการขาดวิตามินเอได้ อาการในระยะแรกคือการปรับตามองในที่มืดได้ช้ากว่าปกติ ต่อไปมีเยื่อบุตาขาวเสีย แล้ลามไปถึงตาดำอาจทำให้แก้วตาทะลุและตาบอดได้ แก้ไขโดยส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูงเช่น ไข่แดง, ตับ, พืชผักสีเหลือง เช่น ฟักทอง, มะละกอสุก, มะม่วงสุก, หรือผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง ผักตำลึง เป็นต้น
4. โรคเหน็บชาจากการขาดวิตามินบี 1
มักพบในกลุ่มที่รับประทานข้าวที่สีขัดจนขาว และอีกกลุ่มในคนที่งดอาหารเนื้อสัตว์ เช่น สตรีหลังคลอดตามชนบท ที่ยึดถือประเพณีอยู่ไฟ ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงทารกที่รับประทานนมแม่ด้วย ทารกจะบวม, หายใจหอบ, และอาจถึงหัวใจวายได้ อาการในผู้ใหญ่มักมีการชามือ-เท้า อ่อนแรง และอาจมีหัวใจวายได้
นอกจากนี้ยังพบในกลุ่มคนที่ชอบรับประทานปลาร้าดิบ, หมากพลู, น้ำชา, ใบเมี่ยง ซึ่งมีสารทำลายวิตามินบี 1 ภาวะที่ต้องการวิตามินบี 1 เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ พวกทำงานหนัก, ภาวะไข้ โรคติดเชื้อ, ต่อธัยรอยด์เป็นพิษ, ผู้ป่วยโรคตับแข็งและพวกดื่มสุราเรื้อรัง
แก้ไขป้องกันได้โดย ให้หุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ ให้ข้าวซ้อมมือ ลดปริมาณน้ำในการหุงต้มอาหาร เช่น หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ จะสูญเสียวิตามินบี 1 ประมาณ 85% ถ้าไม่เช็ดน้ำจะสูญเสียวิตามินบี 1 ประมาณ 50% การแช่ข้าวเหนียวค้างคืน แล้วเทน้ำทิ้งแล้วนึ่งนั้น จะสูญเสียวิตามินบี 1 ประมาณ 60% ทำปลาร้าให้สุกก่อนรับประทาน, เลิกดื่มเหล้า, เลิกหรือรับประทานเมี่ยง, ชา ให้น้อยลง และควรรับประทานอาหารพวกที่มีวิตามินบี 1 เช่น เนื้อหมู, เนื้อวัว, ถั่วเหลือง
5. โรคปากนกกระจอกจากการขาดวิตามินบี 2
อาการแสดงคือ เป็นแผลที่มุมปากทั้ง 2 ช้าง ริมฝีปากเจ่อบวม และแตกเป็นรอยถึงแม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่จะทำให้รับประทานอาหารไม่ได้เป็นผลให้ขาดอาหารอื่น ๆ ตามมา
โรคนี้มักพบในเด็กนักเรียนตามชนบทช่วงปลายฤดูแล้ง เนื่องจากขาดผักใบเขียวเข้ม ส่วนเนื้อสัตว์ และนมที่มีวิตามินบี 2 อยู่มาก เด็กกลุ่มนี้มักได้รับประทานน้อยอยู่แล้ว
6. โรคคอพอกจากการขาดไอโอดีน
ปัจจุบันนี้พบน้อยลง เพราะมีการเติมไอโอดีนในเกลือที่ส่งไปขายตามชนบทโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งมีเกลืออนามัยขององค์การเภสัชกรรมด้วย
อาการคือ ต่อมธัยรอยด์ที่คอโต ถ้าโตมากจะกดทับหลอดลมทำให้หายใจไม่สะดวกและถ้ามารดาเป็นระหว่างตั้งครรภ์ทารกที่คลอดออกมาอาจมีลักษณะปัญญาอ่อน, เป็นใบ้,หูหนวก
7. โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
จากการขาดธาตุฟอสฟอรัส พบมากในเด็กวัยก่อนเรียนทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ศาสตราจารย์นายแพทย์อารี วัลยะเสวี และคณะได้ศึกษาพบว่า การให้ข้าย้ำตั้งแต่หลังคลอด 3-70 วัน ทำให้ทารกได้โปรตีนน้อย จึงได้รับฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นส่วนประกอบในโปรตีนน้อยด้วย และผักพื้นบ้านหลายชนิด มีสารอีอกซาเลทอยู่เป็นจำนวนมาก ภาวะที่มีฟอสฟอรัสไม่เพียงพอ ไม่สามารถที่จะป้องกันการจับตัวเป็นผลึกของอ๊อกซาเลท จึงทำให้เกิดนิ่ในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย