ทำความรู้จักเบื้องต้นกับโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคทางเดินหายใจขั้นร้ายแรงที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตสาเหตุหนึ่งของประชากรโลก
ภาพรวม
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease:COPD) เป็นกลุ่มของโรคทางเดินหายใจของปอด ที่ทำให้เกิดปัญหากับทางเดินหายใจ และเกิดการอุดตันของทางเดินอากาศ โรค ได้แก่ โรคหอบหืดที่ดื้อต่อการรักษา (Refractory asthma), โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis)
อาการ
- หายใจลำบาก
- หายใจมีเสียงวี้ดคล้ายผิวปาก หรือเป่านกหวีด
- ไอบ่อย
- แน่นหน้าอก
- ออกแรง หรือออกกำลังกายได้ไม่ทน
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้รับการวินิจฉัยบ่อยที่สุดในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยง ดังนี้:
- คนอายุตั้งแต่ 50 ถึง 74 ปี
- เคยสูบบุหรี่ ทั้งคนที่ยังสูบอยู่ และเลิกบุหรี่แล้ว
- คนที่มีประวัติอาการโรคหอบหืดรุนแรง
- คนที่สัมผัสสารระคายเคืองในอากาศ สารเคมีทางอุตสาหกรรมและควันบุหรี่เป็นเวลานาน
- คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
แต่เดิม โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในเพศชายที่สูงอายุ แต่รายงานฉบับหนึ่งของสมาคมโรคปอดในอเมริการะบุว่าผู้หญิงมีโอกาสเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนี้ได้มากกว่าผู้ชายถึงร้อยละ 37 และผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้นเป็นเพศหญิง
แม้ว่าอาการของโรคปอดอุดกั้นอาจไม่รุนแรงเสมอไป แต่โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังก็เป็นการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงและเป็นอันตรายถึงตายได้ การวินิจฉัยและการรักษาในระยะเริ่มแรกของโรค อาจเปลี่ยนแปลงการดำเนินไปของโรค และชะลอโรคไม่ให้พัฒนาไปรุนแรงได้ไวดังเดิม
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น โรคหอบหืด ด้วยการประเมินสุขภาพด้านต่างๆ จากทั้งประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย และการตรวจทดสอบอื่นๆที่เหมาะสม ถ้าคุณแจ้งแพทย์ว่า คุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ แพทย์ประจำตัวของคุณมักจะทำการทดสอบการหายใจเรียกว่า การทดสอบสมรรถภาพปอด ซึ่งเป็นการตรวจทดสอบที่รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และบ่งบอกว่าปอดของคุณทำงานได้ดีเพียงใด โดยการวัดปริมาณอากาศที่ปอดสามารถรับได้ และความเร็วในการเคลื่อนเข้าและออกของอากาศจากปอดของคุณ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ของคุณอาจแนะนำการตรวจ CT scan บริเวณทรวงอก และสั่งถ่ายภาพรังสีทรวงอก (Chest X-ray) หลังจากที่วินิจฉัยได้แล้ว แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะแจ้งแนวทางการรักษา และทางเลือกต่างๆให้กับคุณ และแนะนำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่อาจช่วยให้คุณอาการดีขึ้น
การดูแลรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
คนที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอาจไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ จนกว่าโรคของพวกเขาจะอยู่ในระดับ "ปานกลาง" ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะหายใจลำบาก ไอ และมีน้ำมูก เสมหะที่หนักกว่าปกติ การวินิจฉัยผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้ในบางกรณีเนื่องจากอาการของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังคล้ายคลึงกับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ เช่น โรคหอบหืด ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) กล่าวว่าในปี พ.ศ. 2554 โรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจส่วนล่างซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังนั้น เป็นสาเหตุอันดับที่สามของการเสียชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่ชาวอเมริกันประมาณ 15 ล้านคนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังตามสถิติจาก CDC ปี 2011 และสำหรับประเทศไทย อ้างอิงจากคณะทำงานแนวปฎิบัติการสาธารณสุข โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ได้ประมาณผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังว่ามีถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของประชากรอายุ 30 ปี และขึ้นไปถึง 7.1 เปอร์เซ็นต์สำหรับประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยที่สำคัญคือผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมากกว่าครึ่งหนึ่งนั้นไม่ทราบว่าตนเองมีโรคซ่อนอยู่
การรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังไม่ได้มีการรักษาหลักเพียงวิธีเดียวที่เหมาะสมกับทุกคน ผู้ป่วยแต่ละรายจะได้รับแผนการรักษาที่ปรับแต่งตามสภาวะเฉพาะโรคของตน การรักษาอาจได้แก่ การใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ การให้ออกซิเจนเสริม และการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตร่วมด้วยเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เช่น การออกกำลังกาย การฝึกเทคนิคการหายใจ และการหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศทั้งที่บ้านและที่ทำงาน สำหรับผู้สูบบุหรี่นั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดในการรักษา คือ การเลิกบุหรี่
เนื่องจากโรคทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุก ๆ ปี และแนะนำให้วัคซีนป้องกันโรคปอดบวมร่วมกันด้วย
ที่มา: http://acaai.org/asthma/chroni...