ปกติร่างกายจะมีการขับถ่ายและกำจัดของเสียตามธรรมชาติ แต่ในบางครั้ง ร่างกายอาจได้รับสารพิษมากเกินไป หรือมีของเสียคั่งค้าง และกำจัดได้ไม่หมด จนกลายเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ ผู้คนในปัจจุบันหันมาสนใจดูแลสุขภาพ จึงเริ่มมีการใช้กรรมวิธีกำจัดสารพิษในร่างกายที่เรียกว่า “ดีท็อกซ์” มากขึ้น
มีหลายคนเชื่อว่า การดีท็อกซ์ จะทำให้สิ่งไม่พึงประสงค์ที่คั่งค้างอยู่ถูกชะล้างออกไป ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และขจัดโรคภัยต่างๆ ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การดีท็อกซ์มีข้อควรระวังที่ต้องศึกษาก่อนทำด้วย
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
การดีท็อกซ์ หรือ Detox มาจากคำว่า Detoxification ซึ่งแปลว่า การขจัดสารพิษ และสิ่งแปลกปลอมออกไปจากร่างกาย โดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เนื่องจากสารที่รับเข้าไปหลายอย่าง อาจเกิดการสะสม และทำปฏิกิริยากับสารอื่นๆ ภายในร่างกาย ทำให้เกิดผลเสียได้
ปัจจุบัน การขจัดสารพิษด้วยการดีท็อกซ์ถือเป็นแพทย์ทางเลือกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีวิธีหรือสูตรที่หลากหลายกันไปในแต่ละพื้นที่
ประเภทของการดีท็อกซ์
1. การดีท็อกซ์โดยการกิน
ใช้การกินอาหารที่สดใหม่จากธรรมชาติ โดยปรุงจากวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่มีสารเคมี หรือสารพิษตกค้าง ไม่ผ่านกรรมวิธีการขัดสี หรือหมักดอง เช่น ผักผลไม้ออร์แกนิกสดใหม่ ข้าว และเมล็ดพืชไม่ขัดสี
วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและระบบขับถ่าย ให้เร่งนำสารตกค้างที่ไม่ดีออกมา และรับสารอาหารที่ดีเข้าไปทดแทน
2. การดีท็อกซ์โดยการสวนลำไส้
การดีท็อกซ์ด้วยวิธีนี้นิยมทำกันมากขึ้น เพราะเชื่อว่าเป็นการนำของเสียที่ตกค้างในลำไส้ออกมาอย่างรวดเร็ว และทำให้ลำไส้สะอาด นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูกได้
วิธีนี้จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะสอดเข้าไปทางรูทวาร จากนั้นฉีดน้ำหรือสารบางอย่างเข้าไปเพื่อทำความสะอาดลำไส้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงเช่นกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
3. การดีท็อกซ์โดยการอดอาหาร
การอดอาหารเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมการจำศีลของสัตว์ วิธีนี้จะช่วยพักระบบการย่อยอาหาร ลดการสะสมของเสียในลำไส้
การอดอาหารอาจใช้ระยะเวลา 1-2 วัน โดยจะดื่มน้ำเปล่าและน้ำผักผลไม้ทดแทน เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายของเสียออกมา
ข้อดีของการดีท็อกซ์
- ช่วยกำจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างภายในลำไส้
- ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ฟื้นฟูระบบต่างๆ
- กระตุ้นการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก
- กระตุ้นระบบเผาผลาญ ลดการสะสมของไขมัน เชื่อว่าช่วยให้รูปร่างดีขึ้นด้วย
- ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่งขึ้น
- ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ข้อเสียของการดีท็อกซ์
- ทำให้ร่างกายเสียน้ำและแร่ธาตุอย่างมากในคราวเดียว โดยเฉพาะการดีท็อกซ์โดยการสวนลำไส้ อาจทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลง จนถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้
- การดีท็อกซ์โดยการสวนลำไส้ เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่สอดเข้าไป อีกทั้งอาจเกิดบาดแผลในรูทวารได้อีกด้วย
- การดีท็อกซ์ลำไส้ เป็นการทำลายแบคทีเรียประจำถิ่นที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยย่อยอาหารบางประเภท สร้างสารที่จำเป็น และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
- การดีท็อกซ์โดยการอดอาหาร เสี่ยงต่อการได้รับพลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอ อาจทำให้หน้ามืด อ่อนเพลีย หมดแรง และหมดสติได้
- ทำให้ระบบขับถ่ายแปรปรวน และไม่สามารถทำงานได้เองตามปกติ ต้องพึ่งพาการดีท็อกซ์อยู่เสมอ
การดีท็อกซ์ด้วยน้ำกาแฟ
การดีท็อกซ์ด้วยน้ำกาแฟ เป็นหนึ่งในวิธีการดีท็อกซ์โดยการสวนลำไส้ที่ได้รับการนิยม และสามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยข้อดีของน้ำกาแฟคือ จะมีคาเฟอีนที่เข้าไปช่วยเร่งการผลิตน้ำดี และทำให้ท่อน้ำดีขยายตัว ส่งผลให้สารพิษถูกกำจัดออกมาได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
อุปกรณ์การดีท็อกซ์ด้วยน้ำกาแฟ
- กาแฟสำหรับดีท็อกซ์โดยเฉพาะ
- เจลว่านหางจระเข้
- อุปกรณ์ดีท็อกซ์ ประกอบด้วยขวดสำหรับใส่น้ำกาแฟ และสายสวน
วิธีการดีท็อกซ์ด้วยน้ำกาแฟ
- ต้มน้ำกาแฟประมาณ 1-2 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือทำเป็นหัวเชื้อแล้วไปผสมกับน้ำสะอาดก็ได้
- เมื่อน้ำกาแฟที่เตรียมไว้เย็นแล้ว ให้ใส่ลงไปในขวดสำหรับดีท็อกซ์
- ทาเจลว่านห่างจระเข้บริเวณสายสวน และรูทวาร
- ไล่อากาศออกจากสายสวน ก่อนที่จะใส่เข้าไปในรูทวาร
- ค่อยๆ ปล่อยน้ำไปเรื่อยๆ (สายสวนจะมีวาลว์ปิดเปิดอยู่) พอน้ำเข้าไปต่อไม่ได้ หรือมีอากาศดันออกมา ให้กลั้นไว้ประมาณ 5-12 นาที หลังจากนั้นก็ไปขับถ่ายให้เรียบ และหันกลับมาทำใหม่จนกว่าน้ำกาแฟจะหมด
- ความถี่ในการทำที่แนะนำคือ 1 เดือนต่อครั้ง หรือมากที่สุดคือ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
ข้อควรระวังในการดีท็อกซ์
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ และไม่ควรทำบ่อยเกินไป ผู้ที่จะทำควรมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุหรือมีปัญหาสุขภาพบางอย่างอาจทำได้ โดยมีการปรับการดีท็อกซ์ให้เหมาะสมโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ไม่ควรทำดีท็อกซ์
- เด็ก และสตรีมีครรภ์
- เป็นลำไส้อักเสบ เป็นมะเร็งลำไส้
- มีความดันโลหิตสูงหรือต่ำผิดปกติ
- มีภาวะไตวาย หรือภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ
- มีภาวะเสี่ยงในช่องท้อง เช่น ไส้เลื่อน มีภาวะลำไส้อุดตัน มีเลือดออกทางทวารหนัก เพิ่งผ่าตัดช่องท้องไม่เกิน 6 สัปดาห์ เคยผ่าตัดลำไส้ใหญ่และเปิดลำไส้ออกทางหน้าท้อง
- มีภาวะเสี่ยงเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนเลือด เช่น มีประวัติหัวใจล้มเหลว เป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีภาวะเส้นเลือดโป่งพอง มีภาวะเลือดจากรุนแรง
การทำดีท็อกซ์ แม้ว่าจะช่วยกำจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างภายในลำไส้ และปรับสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกายได้ แต่ก็อาจทำลายแบคทีเรียประจำถิ่นที่มีประโยชน์ได้ด้วยเช่นกัน เพื่อความปลอดภัย ควรทำดีท็อกซ์ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจทำดีท็อกซ์ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android