Cellulitis (เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ) เป็นการติดเชื้อที่ผิวหนัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า สเตรปโตคอกคัส (Staphylococcus) แต่โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นสีแดงบวมที่ผิวหนัง มักจะเกิดที่บริเวณขา หรือแขน ทำให้รู้สึกแสบร้อน ผื่นที่เกิดขึ้นสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่พบว่า การรับประทานยาปฏิชีวนะสามารถช่วยรักษาการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใน 10-14 วัน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด Cellulitis
การอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อ เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล หรือรอยแตกของผิวหนัง ซึ่งผู้ที่มีภาวะต่อไปนี้จะมีความเสี่ยงต่อโรค Cellulitis มากขึ้น
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- มีรอยบาด รอยขีดข่วน หรือแมลงกัดต่อย
- มีเชื้อราหรือการติดเชื้อไวรัสที่ผิวหนัง รวมทั้งโรคน้ำกัดเท้าและอีสุกอีใส
- มีโรคทางผิวหนังเรื้อรัง เช่น กลาก
- กำลังใช้ยาที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาเคมีบำบัด
- เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเนื่องจากโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ ลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โรคติดเชื้อเอชไอวี โรคเอดส์ หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากการรักษาด้วยการฉายรังสี
- เคยมีอาการบวมน้ำ เป็นโรคหัวใจ หรือเคยผ่าตัดเพื่อเอาต่อมน้ำเหลืองออก
- เคยมีอาการเซลล์เนื้อเยื่อติดเชื้อมาก่อน
อาการของโรค Cellulitis
อาการของโรค Cellulitis มีดังนี้
- มีผื่นขึ้นบนผิวหนังในทันทีทันใด และกระจายไปยังส่วนต่างๆ อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง
- บริเวณผิวที่อักเสบเป็นสีแดงมีขนาดใหญ่ขึ้น
- รู้สึกปวดบริเวณที่ติดเชื้อ
- ผิวตึงและแตก
- มีไข้
ถ้าบริเวณที่เป็นเกิดการติดเชื้อ อาจทำให้มีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ได้แก่
- หนาว
- เหนื่อยล้า
- วิงเวียน
- เจ็บและปวดกล้ามเนื้อ
- เหงื่อออก
การวินิจฉัยโรค Cellulitis
แพทย์จะตรวจบริเวณที่เป็นผื่นเพื่อดูว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเซลล์เนื้อเยื่อติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งแพทย์อาจใช้ปากกาทำเครื่องหมายบริเวณผื่นเพื่อติดตามการแพร่กระจายของการติดเชื้อ รวมทั้งอาจต้องตรวจดูต่อมน้ำเหลืองเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ และทำการทดสอบสารเหลวต่างๆ ที่สะสมอยู่บริเวณที่เป็นผื่น
อาจต้องตรวจเลือดเพื่อตัดความเป็นไปได้ของการเป็นลิ่มเลือด เนื่องจากลิ่มเลือดกับเซลล์เนื้อเยื่อติดเชื้อจะมีอาการคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจตรวจด้วยวิธีการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อดูว่า จำนวนเม็ดเลือดขาวสูงหรือไม่ ซึ่งจะบ่งชี้ว่าเกิดการติดเชื้อขึ้น
การป้องกันโรค Cellulitis
เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์เนื้อเยื่อติดเชื้อ คุณควรรักษารอยขีดข่วนและบาดแผลใดๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม โดยล้างแผลด้วยสบู่และน้ำอุ่นอยู่เสมอ ทาขี้ผึ้งต้านแบคทีเรีย และปิดแผลด้วยผ้าก๊อซเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด รวมถึงสังเกตบาดแผลว่า มีอาการแดง ปวด มีของเหลวไหลออกมา หรือมีสัญญาณอื่นๆ ที่แสดงถึงการติดเชื้อหรือไม่
นอกจากนี้ควรป้องกันการได้รับบาดเจ็บหรือบาดแผลตามคำแนะนำต่อไปนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- สวมอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เหมาะสมเมื่อเล่นกีฬาหรือทำงาน
- สวมถุงมือในฤดูหนาว รวมถึงตอนล้างจานหรือตอนทำความสะอาดเพื่อปกป้องมือของคุณ
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว มีดโกน ร่วมกับผู้อื่น
- หากเป็นโรคเบาหวานหรือมีโรคอื่นๆ ที่ส่งผลให้การไหลเวียนในร่างกายไม่ดี ควรทาโลชั่นเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นประจำทุกวัน
- ตรวจสุขภาพเท้าเป็นประจำเพื่อดูว่า มีรอยหรือบาดแผลหรือไม่ หากเป็นโรคน้ำกัดเท้าควรรักษาในทันที และตัดเล็บอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ไปขีดข่วนผิวหนังจนเกิดรอย
การรักษาโรค Cellulitis
Cellulitis สามารถรักษาให้หายได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 10-14 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้นประมาณ 3 วันให้หลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรับประทานยาให้หมด เพราะแบคทีเรียอาจยังคงอยู่แม้จะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม
หากมีอาการที่รุนแรง แพทย์อาจให้รับประทานยาแก้ปวด หรือแนะนำยาบรรเทาปวดตามร้านขายยาให้ หากอาการยังไม่ดีขึ้น แย่ลง หรือมีไข้ขึ้นสูง ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจแสดงว่า อาการอักเสบของเซลล์เนื้อเยื่อไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะแบบรับประทาน และคุณอาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อรับยาปฏิชีวนะเข้าทางหลอดเลือดดำ หากคุณป่วยเรื้อรังหรือมีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ภาวะแทรกซ้อนของโรค Cellulitis
การรักษาอาการติดเชื้อของเนื้อเยื่อในทันทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เพราะหากแบคทีเรียแพร่กระจายไปที่ชั้นผิวหนังชั้นลึกลงไป เชื้ออาจเข้าไปในกระแสเลือดหรือต่อมน้ำเหลืองได้ ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่อันตรายมาก เช่นเดียวกับคนที่เกิดการติดเชื้อซ้ำ ที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองได้ และอาจนำไปสู่อาการบวมที่รุนแรงด้วย
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จากภาวะ Cellulitis ที่ต้องระวัง มีดังนี้
Perianal Streptococcal Cellulitis
เป็นภาวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส และทำให้เกิดการอักเสบของทวารหนักได้ มักจะพบมากที่สุดในเด็ก และมักเกิดพร้อมกับโรคเจ็บคอ (Strep throat) คอหอยอักเสบ (Pharyngitis) หรือโรคพุพอง (Impetigo)
เบ้าตาอักเสบ (Orbital Cellulitis)
เกิดจากการที่แบคทีเรียเข้าไปในตา ซึ่งอาจเป็นตอนที่ตาได้รับบาดเจ็บหรือขณะเกิดการติดเชื้อไซนัส ซึ่งมักเกิดกับเด็กเป็นส่วนใหญ่ อาการของเบ้าตาอักเสบ ได้แก่ ปวด บวม สีของเปลือกตาเปลี่ยนไป มองเห็นไม่ชัด ขยับตาลำบาก และมีไข้ ซึ่งถ้าไม่รีบรักษา อาการเบ้าตาอักเสบจะรุนแรงขึ้น และอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดเลยทีเดียว ฉะนั้นเมื่อมีอาการดังกล่าวนี้ ผู้ป่วยจึงมักต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนการรักษาโดยทั่วไปก็คือการใช้ยาปฏิชีวนะและการผ่าตัด
โรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing Fasciitis)
แม้จะพบอาการนี้ได้ยาก แต่โรคแบคทีเรียกินเนื้อเกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อที่อักเสบลุกลามไปยังเนื้อเยื่ออ่อนชั้นลึกๆ ลงไป (Fascial lining) ซึ่งมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดอย่างรุนแรง
- มีอาการบวม
- บริเวณที่ติดเชื้อเป็นสีแดง
- มีจุดด่างดำ
- เป็นแผลพุพอง
- เป็นแผลมีหนอง
- มีไข้สูง
- สัญญาณของอาการอักเสบอื่นๆ
ที่เรียกว่า "โรคแบคทีเรียกินเนื้อ" เพราะการติดเชื้อนี้อาจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและทำให้เสียชีวิตได้ หากคุณมีอาการคล้ายกับที่กล่าวมาข้างต้น ต้องไปพบแพทย์ทันที ซึ่งการรักษาทำได้ด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าหลอดเลือดดำ ต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาล และตัดเอาเนื้อเยื่อที่ตายแล้วออกไป
เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดเดียวกันในช่วงๆเวลาใกล้กันได้หรือไม่คะ