รู้จักกับโรคพุพอง
โรคพุพอง (Impetigo) เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และสามารถติดต่อกันได้ง่าย มีลักษณะเป็นผื่นแดงที่ทำให้เกิดอาการเจ็บ
อาการแรกของการติดเชื้อโรคชนิดนี้ คือ มีถุงน้ำพองเกิดขึ้นที่ใบหน้า และเมื่อโรคดำเนินต่อไป ตุ่มน้ำจะแตกออก และมีสะเก็ดสีเหลืองน้ำตาลคล้ายสีน้ำผึ้ง ผื่นพุพองอาจจะดูน่ากลัว แต่สามารถรักษาได้ง่าย ไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่อย่างใด
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
โรคพุพองแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
- โรคพุพองแบบไม่มีตุ่มน้ำ เป็นประเภทของโรคพุพองแบบที่พบได้มากกว่า
- โรคพุพองแบบมีตุ่มน้ำ
สาเหตุโรคพุพอง
โรคพุพองส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 2 ชนิดซึ่งเป็นเชื้อที่แพร่กระจายได้ง่าย ได้แก่
- เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus)
- เชื้อสเตรปโทคอคคัส กรุ๊ปเอ (Streptococcus group A)
โรคพุพองในเด็ก
โรคพุพองมักเกิดในเด็กตั้งแต่อายุ 2-6 ปี โดยตุ่มน้ำมักจะเริ่มเป็นที่ใบหน้าก่อน โดยเฉพาะรอบๆ จมูก และปาก ซึ่งเด็กอาจจะติดเชื้อนี้มาจากผู้อื่นที่ยังอยู่ในระยะที่แพร่กระจายเชื้อได้
เชื้อแบคทีเรียของโรคพุพองสามารถแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสผิวหนัง น้ำมูก หรือจากการใช้ของเล่น เตียงนอน หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน รวมถึงการอยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก บนรถไฟฟ้า เชื้อก็จะสามารถแพร่เชื้อได้รวดเร็วขึ้น
และถ้าลูกของคุณเล่นกีฬา หรือกิจกรรมที่มีการสัมผัสผิวหนังกับผู้อื่น ก็จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อพุพองได้เช่นกัน
โรคพุพองในผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่สามารถมีโรคพุพองได้ โดยมากจะเกิดร่วมกับผื่นผิวหนังชนิดอื่น เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ หรืออาจจะเกิดตามหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
อาการของโรคพุพอง
อาการของโรคพุพองประเภทไม่มีตุ่มน้ำ ประมาณ 4-10 วันหลังจากที่ได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นสีแดงให้เห็นบริเวณจมูก หรือรอบปาก หลังจากนั้นผื่นสีแดงจะกลายเป็นตุ่มน้ำ และสามารถกระจายไปได้ทั้งตัวของผู้ป่วย โดยกระจายผ่านเสื้อผ้า หรือจากการถู และตุ่มน้ำจะแตกออกภายในไม่กี่วัน
หลังจากนั้นจะมีน้ำเหลืองไหลออกจากตุ่มน้ำ ก่อนที่จะแห้งเป็นสะเก็ดสีเหลืองน้ำตาล
โรคพุพองมักไม่ทำให้ผู้ป่วยมีไข้ หรือเบื่ออาหาร แต่ถ้าลูกของคุณ หรือคนใกล้ชิดของคุณที่เป็นโรคพุพองมีอาการเหล่านี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อรีบรักษาให้หายโดยเร็วจะดีที่สุด
โรคพุพองชนิดมีตุ่มน้ำ
โรคพุพองชนิดมีตุ่มน้ำ (Bullous Impetigo) เป็นประเภทของการติดเชื้อโรคพุพองที่พบได้น้อยกว่า โดยจะมีตุ่มน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่หน้าอก ท้อง หลัง ก้นของทารก หรือเด็กเล็ก และสะเก็ดของตุ่มน้ำก็จะแห้งกลายเป็นสีน้ำตาล
ผู้ใหญ่ที่มีโรคพุพองชนิดตุ่มน้ำนี้ อาจเป็นอาการของการติดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) ด้วย ดังนั้นหากคุณคิดว่าตนเองมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการให้แน่ชัด
ภาวะแทรกซ้อนของโรคพุพอง
โรคพุพองเป็นโรคที่ไม่อันตราย และมักจะหายภายในไม่กี่วันหลังจากได้รับการรักษา แต่ภาวะแทรกซ้อนของโรคพุพองก็ยังมีอยู่ แต่เป็นภาวะที่พบได้น้อย เช่น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- แผลเป็น หากแผลพุพองมีอาการรุนแรงมากหรือลูกของคุณแกะที่แผล ก็อาจทำให้มีแผลเป็นตามมาได้
- โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นการติดเชื้อที่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและเข้าสู่กระแสเลือดได้หากไม่ได้รับการรักษา ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- โรคไต (Kidney Disease) หรือไตอักเสบหลังการติดเชื้อสเตรปโทคอคคัส ซึ่งสามารถทำให้เกิดภาวะไตวายตามมาได้
การวินิจฉัยโรคพุพอง
สำหรับเด็กที่เป็นโรคพุพอง กุมารแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจลักษณะผื่นและตำแหน่ง ถ้ามีลักษณะไม่แน่ชัด แพทย์อาจตรวจหนองเพื่อยืนยันเชื้อแบคทีเรียว่าเป็นโรคพุพองหรือไม่
การรักษาโรคพุพอง
ส่วนมากโรคพุพองจะหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ โดยการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดทา หรือชนิดรับประทาน ซึ่งจะช่วยให้โรคนี้หายได้เร็วขึ้ นและป้องกันการแพร่กระจายไปบริเวณอื่น
ในกรณีที่ความรุนแรงของโรคน้อย ผื่นพุพองจะสามารถดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วด้วยยาปฏิชีวนะชนิดทา ในขณะที่ถ้าความรุนแรงของผื่นเป็นมาก การรักษาก็จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน และอาการของผื่นจะเริ่มดีขึ้นในระยะเวลาประมาณ 3 วันหลังจากการเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ
การป้องกันโรคพุพอง
โรคพุพองเป็นโรคที่มีการแพร่กระจายของเชื้อโรคสูง วิธีการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจะได้แก่
- ระมัดระวังในการสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีโรคพุพอง
- หลีกเลี่ยงการใช้ หรือสัมผัสสิ่งของที่ผู้ป่วยโรคพุพองใช้
- ล้างมือของคุณ และลูกของคุณด้วยสบู่ทันทีที่ได้สัมผัสกับผู้ป่วยโรคพุพอง หากคุณไม่สามารถล้างมือได้ทันที สามารถใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือแทนได้
- ควรล้างแผลเปิด รอยข่วน หรือรอยกัดของแมลงทันที และปิดด้วยพลาสเตอร์แปะแผลจนกว่าแผลจะหายดี
ในกรณีที่ตัวคุณ หรือลูกน้อยเป็นโรคพุพองให้ทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ปิดแผลด้วยเสื้อผ้าหรือพลาสเตอร์หลวมๆ
- ซักเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อนและอบร้อนให้แห้ง
- ควรให้ลูกหยุดพักการเรียนประมาณ 1-2 วันหลังจากเริ่มได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไปยังเด็กคนอื่นๆ
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยป้องกันโรคพุพองได้ก็คือ ความสะอาด ดังนั้นคุณควรหมั่นล้างมือ และทำความสะอาดร่างกายอยู่เป็นประจำ หรือควรพกทิชชู่เปียก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือติดตัวไว้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
นอกจากนี้ คุณต้องคอยดูแลสุขอนามัยให้ลูกของคุณให้ดี คอยกำชับให้เด็กล้างมืออยู่เป็นประจำจนเป็นนิสัย การมีพฤติกรรมดูแลความสะอาดให้กับตนเองอยู่เป็นประจำจะช่วยให้คุณ และลูกห่างไกลจากโรคพุพองได้
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพเด็ก ผู้ใหญ่ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android