เรื่องของกลิ่นตัว ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ที่จะพูดถึงกันเลย บางคนมีกลิ่นตัวที่แรงมาก จนถึงขั้นที่ว่าเข้าไปในกลุ่มคนสาธารณะแล้วมีแต่คนต้องขยับตัวออกห่าง บางคนก็เอามือปิดจมูก หรือบ่นพึมพำจนแลเห็นได้ชัด ซึ่งบางคนก็รู้ตัวดี แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ยิ่งพรมน้ำหอมลงไป ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะกลิ่นน้ำหอมที่ผสมไปกับกลิ่นตัวนั้น ยิ่งทำให้กลิ่นตัวเหม็นมากกว่าเดิมเพิ่มขึ้น เราจึงได้รวบรวมเรื่องของกลิ่นตัวมาให้คุณได้ศึกษาความเข้าใจ พร้อมแนะนำวิธีลดกลิ่นตัวที่ได้ผลจริงมาฝากกัน
สาเหตุของปัญหากลิ่นตัว
กลิ่นตัว เป็นกลิ่นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะตั้งแต่เหม็นอ่อน ๆ ไปจนถึงเหม็นจนฉุน ส่วนมากแล้วจุดที่เกิดกลิ่นตัวมักจะเป็นบริเวณศีรษะ ท้ายทอย รักแร้ ขาหนีบ ที่เป็นส่วนข้อพับต่าง ๆ และอาจจะมีบ้างที่เกิดขึ้นจากบริเวณอวัยวะเพศ การเกิดกลิ่นตัว เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ฝังตัวอยู่ตามบริเวณที่กล่าวมา แล้วไปทำปฏิกิริยากับต่อมเหงื่อด้วยการย่อยสลายเหงื่อเองจนทำให้เกิดเชื้อราและกรดไขมัน เป็นเหตุให้เกิดความอับชื้นและเกิดกลิ่นตามมา โดยทั่วไปสามารถพบกลิ่นตัวได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากในเพศชายนั้นมีการผลิตต่อมเหงื่อที่ค่อนข้างจะเยอะกว่า และเพศชายมักจะไม่ค่อยทำความสะอาดร่างกายดีเท่าที่ควร
ลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 4,073 บาท ลดสูงสุด 52%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
ทำไมบางคนเหงื่อออกมาก แต่ไม่มีกลิ่นตัว?
ในส่วนนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ร่างกายของคนเราจะผลิตเหงื่อได้ 2 รูปแบบ คือ
1. Eccrine เป็นการขับเหงื่อจากร่างกายเพื่อลดอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น การออกกำลังกาย การอยู่ในที่เบียดเสียด หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน การขับเหงื่อประเภทนี้จะเป็นการขับเหงื่อทั่วทั้งร่างกาย จุดไหนก็เหงื่อออกได้ไม่เว้นแม้กระทั่งเท้า แต่ถึงเหงื่อจะออกมากเท่าไรก็ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เว้นเสียแต่จะมีกลิ่นอับชื้นตามมาเท่านั้น
2. Aprocrine เป็นการผลิตเหงื่อ (จากต่อม) โดยตรงที่บริเวณข้อพับทั้งหลาย เช่น รักแร้ ข้อพับขา ข้อมือ ท้ายทอย อวัยวะเพศ เหงื่อที่ผลิตจากส่วนนี้จะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีน จึงทำให้เกิดปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียได้โดยง่าย และเกิดเป็นกลิ่นตัวขึ้นมา ยิ่งถ้าหากว่าได้ทานอาหารที่มีกลิ่นจัด ๆ ก็จะพบว่ากลิ่นตัวในวันนั้น ๆ จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้ง่าย
ยังมีปัจจัยบางประการที่เกี่ยวข้องกับการมีกลิ่นตัว ยกตัวอย่างเช่น ชาวอินเดีย จะมีกลิ่นตัวแรงกว่าชาวเอเชียทั่วไป เนื่องจากมีพันธุกรรมบางอย่างที่ทำให้ชาวอินเดียมีการผลิตต่อมเหงื่อเยอะ และฮอร์โมนก็มีส่วนที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน สังเกตได้เลยว่า บางคนอาจจะมีปัญหากลิ่นตัวอย่างหนักตอนวัยรุ่น แต่เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว กลิ่นตัวนี้ก็จะหายไปเอง
วิธีป้องกันการเกิดกลิ่นตัว
สำหรับวิธีป้องกันการเกิดกลิ่นตัวที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหากลิ่นตัว นั่นก็คือการดูแลไม่ให้มีเหงื่อออกมาก หรือหมั่นทำความสะอาดบริเวณส่วนต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวนั่นเอง สามารถจำแนกออกมาได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
- อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทุกครั้งที่อาบน้ำ ต้องทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ ควรใช้สบู่กำจัดแบคทีเรียโดยตรง เพื่อลดแบคทีเรียที่เกาะอยู่ตามผิวหนัง และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ควรเช็ดตัวให้แห้งสนิทเพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้น
- ดูแลรักษารักแร้ให้สะอาด ผู้ที่มีกลิ่นตัวแรง ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะไว้ขนรักแร้ แม้กระทั่งเพศชายก็ตาม เพราะถ้าหากมีเหงื่อออกที่รักแร้ จะทำให้เกิดการอับชื้น ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง และนอกจากนี้ควรใช้โรลออนที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จะได้ผลกว่าการใช้โรลออนที่มีกลิ่นหอมเพียงอย่างเดียว หรือถ้าไม่รู้จะใช้อะไร ก็สามารถใช้สารส้มเพียงอย่างเดียวก็ได้
- เลือกใส่เสื้อผ้าที่มีการระบายอากาศดี ถ้าหากเป็นคนชอบออกกำลังกาย หรือต้องทำกิจกรรมที่เหงื่อออกง่าย ก็ควรใส่เสื้อผ้าที่มีการระบายได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน เป็นต้น และเมื่อทำกิจกรรมเสร็จ ควรรีบอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
วิธีแก้ปัญหากลิ่นตัว
ถึงแม้ว่าบางคนจะใช้วิธีป้องกันการเกิดกลิ่นตัวอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นเล็ดลอดออกมากวนใจอยู่บ้าง ถ้าเช่นนั้น เราขอแนะนำวิธีแก้ปัญหากลิ่นตัวที่ได้ผลจริงมาฝากดังนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
1. ลดรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง
เช่น อาหารหมักดองอย่างปลาร้า รวมถึงผักผลไม้บางชนิด เช่น กระเทียม ทุเรียน สะตอ และชะอม เป็นต้น ซึ่งหากสามารถลดอาหารเหล่านี้ได้ ก็จะช่วยให้กลิ่นตัวค่อยๆ จางลงอย่างแน่นอน หรือในบางคนก็อาจแทบไม่มีกลิ่นตัวเลย
2. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
เพราะสองสิ่งนี้ มีสารชนิดหนึ่งที่จะไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าเดิม
3. ดีท็อกซ์ร่างกาย
การดีท็อกซ์คือ การล้างสารพิษในร่างกายด้วยวิธีต่าง ๆ เชื่อกันว่าวิธีนี้จะทำให้ภายในร่างกายมีความสะอาดมากยิ่งขึ้น จึงทำให้กลิ่นตัวค่อย ๆ หายไปเองด้วย อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพมากทีเดียว ดังนั้นลองมาทำดีท็อกซ์ เพื่อล้างพิษออกจากร่างกายกันดูสิ
4. ไม่ขัดผิวบ่อย
ถึงแม้ว่าการขัดผิว จะเป็นการทำลายแบคทีเรียที่เกาะอยู่ตามผิวหนังได้เป็นอย่างดี แต่อย่าลืมว่าร่างกายของเราก็มีแบคทีเรียดีที่มีประโยชน์ต่อผิวด้วย การขัดผิวที่มากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง อาจทำให้แบคทีเรียที่ช่วยลดกลิ่นตัวถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นที่แรงขึ้น
5. ใช้เบคกิ้งโซดา
นำเบคกิ้งโซดามาผสมน้ำให้พอข้น ๆ แล้วทาไปตามจุดต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว เช่น รักแร้ ข้อพับเข่า ท้ายทอย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ซึ่งก็ไม่ยากเลย เพราะฉะนั้นใครที่มีกลิ่นตัวแรงก็ลองทำตามกันดูสิ รับรองว่าได้ผลลัพธ์ที่โดนใจแน่นอน
6. ตัดต่อมเหงื่อออก
โดยใช้วิธีทางการแพทย์ เช่น miraDry และคลื่นความถี่วิทยุในการทำลายตอมเหงื่อได้ผิวหนังโดยที่ไม่เป็นอันตรายและไม่ต้องผ่าตัด อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ก็ช่วยลดการมีกลิ่นตัวได้แบบชะงัด
เรื่องของกลิ่นตัว เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะมองข้ามเลยทีเดียว ยิ่งถ้าใครที่มีกลิ่นตัวแรง ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีเพียงไร ก็ยังไม่มีใครอยากเข้าใกล้คุณอยู่ดี เพราะฉะนั้นก็อยากให้ลองเอาวิธีเหล่านี้ไปใช้ในการลดกลิ่นตัว และถ้ายังไม่ได้ผลจริง ๆ ก็ขอแนะนำให้เข้ารับการรักษาจากทางการแพทย์จะดีที่สุด