การบริจาคโลหิตเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการช่วยเหลือสังคมโดยที่ไม่ต้องลงทุนแม้แต่บาทเดียว ปัจจุบันมีผู้ป่วยต้องการโลหิตไม่น้อยกว่า 5,000 ยูนิต/วัน แต่ยอดบริจาคยังได้ไม่ถึงครึ่งต่อวันด้วยซ้ำ
ประมาณการณ์กันว่า ยอดผู้ที่ได้บริจาคจริงๆ แล้วมีเพียงแค่ 3% ต่อประชากรไทยทั้งประเทศ เลือดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้าง หรือผลิตขึ้นมาได้เอง ผู้ป่วยจึงต้องรอรับการบริจาคจากคนปกติเท่านั้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิต ควรศึกษาข้อควรปฏิบัติทั้งก่อนและหลังบริจาคอย่างเข้าใจเพื่อบริจาคเลือดอย่างปลอดภัย
คุณสมบัติผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้
- ผู้ที่มีอายุระหว่าง 17-70 ปี หากต่ำกว่า หรือยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์จะต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- ผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตเป็นครั้งแรก หากอายุเกิน 55-60 ปี จะต้องให้แพทย์วินิจฉัยก่อนว่า จะให้โลหิตได้หรือไม่
- ผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตหากมีอายุมากกว่า 60-70 ปี จะมีเกณฑ์แยกจากช่วงอายุแยกย่อยไปอีก (อธิบายต่อจากคุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต) และจะต้องอยู่ในเกณฑ์จึงจะบริจาคได้
- ต้องเป็นผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป และน้ำหนักจะต้องไม่ลดลงผิดปกติในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้บริจาคโลหิตต้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพในระยะเวลาที่จะบริจาค
- ต้องไม่อยู่ในระหว่างการรับประทานยาแก้อักเสบทุกชนิด หากรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวด จะต้องหยุดยามาก่อนบริจาค 3 วัน หากเป็นยาแก้อักเสบจะต้องหยุดยามาก่อนบริจาค 7 วัน
- ไม่มีประวัติเจ็บป่วย หรือไม่ป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ ตับ โรคหอบหืด ไต มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไทรอยด์
- ผู้บริจาคต้องไม่เป็นโรคมาเลเรีย หากมีประวัติว่า "เคยเป็นมาก่อน" ต้องหายจากโรคแล้วอย่างน้อย 3 ปี
- กรณีเพิ่งผ่านการผ่าตัดใหญ่ต้องผ่านระยะเวลามาแล้วเกิน 6 เดือน และหากผ่าตัดเล็กต้องเกิน 7 วันจึงจะบริจาคได้
- หากถอนฟัน ขูดหินปูน ต้องทิ้งระยะอย่างน้อย 3 วัน หากถอนฟันคุด ต้องทิ้งระยะ 6 วัน
- หากเคยได้รับเลือดของผู้อื่นมา ต้องเกิน 1 ปี จึงจะให้โลหิตแก่ผู้อื่นได้
- ผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือนสามารถบริจาคโลหิตได้ หากร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการอ่อนเพลียและตรวจความเข้มข้นของโลหิตผ่าน
เมื่อมีคุณสมบัติตามกำหนดที่สามารถให้บริจาคได้ ควรนัดสถานที่ที่จะไปบริจาคโลหิต ก่อนเพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมการ
หากไม่อยากนัด ก็สามารถไปตามโรงพยาบาลหรือรถที่ให้บริการรับบริจาคโลหิตได้
เกณฑ์สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี
- สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี จะไม่รับบริจาคในหน่วยงานรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่
- สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี จะสามารถบริจาคได้ ก็ต่อเมื่อมีการบริจาคโลหิตเป็นประจำจนกระทั่งถึงอายุ 60 ปี โดยจะบริจาคได้ไม่เกินปีละ 3 ครั้ง หรือทุก 4 เดือน
- นอกจากเคยบริจาคโลหิตเป็นประจำแล้ว ยังต้องตรวจ Complete Blood Count และ Serum Ferritin ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประกอบพิจารณาการตรวจสุขภาพ สำหรับให้แพทย์ติดตามและปรับการให้ยาธาตุเหล็กที่ร่างกายได้บริจาคเลือดไป
เกณฑ์สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 65-70 ปี
- สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 65-70 ปี จะไม่รับบริจาคในหน่วยงานรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่
- สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาคโลหิตที่มีอายุมากกว่า 65-70 ปี จะสามารถบริจาคได้ ก็ต่อเมื่อมีการบริจาคโลหิตมาเป็นประจำจนกระทั่งถึงอายุ 65-70 ปี โดยจะบริจาคได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง หรือทุก 6 เดือน
- นอกจากเคยบริจาคโลหิตเป็นประจำแล้ว ยังต้องตรวจคัดกรองสุขภาพโดยแพทย์ หรือพยาบาลของธนาคารเลือด หรือหน่วยงานที่รับบริจาค และต้องตรวจ CBC รวมถึง SF ปีละ 1 ครั้ง
ข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับการบริจาคโลหิต
- ก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต ผู้ที่จะบริจาคต้องพักผ่อนให้เต็มที่ 7-9 ชั่วโมง หรือเท่าที่ร่างกายของผู้บริจาคต้องการ
- ก่อนบริจาคต้องงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- งดการสูบบุหรี่ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
- ควรดื่มน้ำ 3-4 แก้ว หรือดื่มน้ำผลไม้มากๆ ในช่วงกลางคืนและเช้า เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตเพื่อที่ภายหลังจากบริจาคเสร็จจะได้ไม่มึนงง อ่อนเพลีย หรือเป็นลม
- หากบริจาคน้ำเหลือง (พลาสมา) ควรดื่มน้ำ 4-6 แก้วในเวลา 2-3 ชั่วโมงก่อนการนัด
- หากบริจาคตอนเช้า ไม่ควรรับประทานอาหารหนักก่อนบริจาค เช้าๆ ควรรับประทานอาหารซีเรียล หรือขนมปังปิ้ง หากบริจาคกลางวันควรรับประทานแซนวิชและผลไม้
- ห้ามรับประทานอาหารทันทีก่อนการนัดเพราะอาจทำให้เวียนศีรษะขณะบริจาคได้
- ก่อนบริจาคโลหิตไม่ควรรับประทานอาหารอาหารมี่มีไขมันสูง เช่น อาหารที่มีกะทิ หมูสามชั้น ของทอด เพราะจะทำให้สีของพลาสมาเป็นสีขาวขุ่นผิดปกติไม่สามารถนำไปใช้ได้
- ควรรับประทานอาหารอาหารที่มีธาตุเหล็กประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนนัด เช่น ธัญพืช ปลา ถั่ว เครื่องในสัตว์ ไข่ไก่ และควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีจะได้ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
- ควรนำบัตรประจำตัวไปด้วยเพื่อแสดงตัวตน เช่น บัตรประชาชน บัตรบริจาคโลหิต
- ไม่ควรอมลูกอม หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ขณะมาบริจาคเพราะจะทำให้อุณหภูมิในปากสูงขึ้นเหมือนเป็นไข้ เมื่อวัดอุณหภูมิแล้วอาจพลาดการบริจาคได้
- หากรู้สึกป่วยนานๆ หลังจากการให้บริจาคโลหิตควรกลับมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาต่อไป
ข้อปฏิบัติขณะบริจาคโลหิต
- ไม่เครียด หรือกังวลจนเกินไปควรต้องทำจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย
- ควรสวมเสื้อผ้าที่สบายๆ ไม่อึดอัด แขนเสื้อควรดึงขึ้นได้ง่าย เพื่อจะเจาะเส้นเลือดได้ง่าย
- ควรเลือกแขนที่เห็นเส้นเลือดชัดเจน จะได้ไม่เจ็บตัวในการเจาะหาเส้นเลือดหลายครั้งและควรเป็นข้างที่เจาะเลือดออกลงถุงได้สะดวก
- หากมีประวัติการแพ้ยาฆ่าเชื้อควรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบก่อน
- ขณะบริจาคควรบีบลูกยางเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลเวียนสะดวก
- หากมีอาการเวียนหัว คล้ายจะเป็นลม ใจสั่นผิดปกติต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ข้อปฏิบัติหลังบริจาคโลหิต
- หลังบริจาคโลหิตเสร็จ อย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นให้นอนพักบนเตียงก่อน เพราะหากลุกขึ้นทันทีอาจทำให้หน้ามืด เป็นลมได้ ควรพักจนรู้สึกสบายและมั่นใจแล้ว จึงลุกไปดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้
- งดสูบบุหรี่หลังจากบริจาคเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
- หลังจากบริจาคควรดื่มน้ำในปริมาณมากกว่าปกติ 1 วัน
- หลังจากบริจาค ถ้ามีเลือดออกในบริเวณที่เจาะซึมขึ้นมาบนผ้าก๊อต ให้ใช้นิ้วมือกดลงแผลแน่นๆ พร้อมยกแขนให้สูงเหนือศีรษะสักครู่ หากเลือดยังคงไม่หยุดไหลให้รีบกลับมาพบแพทย์ หรือพยาบาล
- หากว่าเป็นรอยช้ำมากให้ประคบเย็น
- ควรงดการซาวน่า หรือออกกำลังกายหนักๆ ที่ทำให้เสียเหงื่อมากเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังทำการบริจาค ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบวมช้ำ
- ผู้บริจาคโลหิตซึ่งทำงานบนที่สูงต้องปีนป่าย แนะนำให้หยุดทำงาน 1 วัน เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงก่อน เพราะอาจหน้ามืดแล้วตกลงมาเป็นอันตรายได้
- ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และรับประทานยาบำรุงเลือดที่เจ้าหน้าที่จัดให้จนหมด
การบริจาคโลหิตสามารถทำได้ทุก 3 เดือน เว้นแต่กรณีต้องบริจาคก่อนกำหนดสามารถ ทำได้ไม่เกิน 14 วัน และทำได้เพียงปีละ 1 ครั้ง
ผู้ที่ได้บริจาคโลหิตนอกจากจะได้รับความอิ่มใจแล้ว ทางด้านร่างกายเมื่อบริจาคเป็นประจำก็จะทำให้ระบบเลือดหมุนเวียนดี ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณหน้าตาสดใส
อย่างไรก็ตาม ก่อนบริจาคและหลังบริจาคโลหิต อย่าลืมทำตามข้อควรปฏิบัติที่เรานำมาฝากเพื่อจะได้ปลอดภัยอย่างแท้จริง
บทความที่เกี่ยวข้อง
รีวิว บริจาคเลือด ที่ สภากาชาด เชียงใหม่ | HDmall
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android