อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Atypical Lymphocytes ,Monocyte และ Eosinophil ว่าคืออะไร มีหน้าที่
และมีความสำคัญอย่างไรในร่างกาย รวมทั้งบอกข้อมูลเกี่ยวกับค่าปกติและค่าที่ผิดปกติจะแสดงผลอย่างไรต่อร่างกาย อ่านได้ที่นี่
วัตถุประสงค์
เพื่อทราบว่า Atypical Lymphocytes หรือ Reactive Lymphocytes หรือ ลิมโฟไซต์นอกแบบ (typical = ตามแบบ, Atypical = นอกแบบ) มีจำนวนมากน้อยเพียงใดในกระแสเลือดหรือมีค่าเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ WBC (จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว)
อธิบายอย่างสรุป
- ลิมโฟไซต์ ตามปกติในร่างกายมนุษย์นั้นจะมี 2 ขนาดกล่าวคือ
- ก. ลิมโฟไซต์ขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 15 ไมครอน (หรือเท่ากับ 15 ไมโครเมตร) มันมักไม่อยู่ในกระแสเลือดแต่จะอยู่ตามเนื้อเยื่อและในหลอดน้ำเหลือง
- ข. ลิมโฟไซต์ขนาดเล็ก มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-8 ไมครอน หรือ 6-8 ไมโครเมตร ซึ่งมักเป็นพวก T-cells ที่อยู่ในกระเเสเลือด
- ในการเจาะเลือดตรวจหาค่า WBC และ lymphocyte จึงย่อมจะต้องตรวจพบลิมโฟไซต์ ตามแบบซึ่งมีขนาด 6-8 ไมครอน จึงจะถือว่าร่างกายเป็นปกติ
- ลิมโฟไซต์นอกแบบ (Atypical Lymphocyte) ก็คือ ลิมโฟไซต์ ส่วนน้อยจำนวนหนึ่งที่ตรวจพบในกระแสเลือด ซึ่งมันมีขนาดใหญ่กว่าปกติมากกล่าวคืออาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 30 ไมโครเมตร
- การแสดงผลว่ามีจำนวนลิมโฟไซต์นอกแบบอยู่มากเท่าใดก็ย่อมแสดงว่าได้เกิดมีจุลชีพก่อโรคบุกรุกเข้าสู่ร่างกายมากเท่านั้นซึ่งมาแสดงด้วยตัวเลขเป็นเปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดขาว (WBC) ทั้งหมดเลยเลือกที่จะออกมาตรวจ
ค่าปกติของ Atyp. Lymph
- หากร่างกายมีสุขภาพเป็นปกติก็ไม่ควรจะมีลิมโฟไซต์นอกเเบบ หรือมีลิมโฟไซต์ขนาดผิดปกติฉะนั้น Atyp. Lymph = 0%
- จำนวนตัวเลขใดใดที่ปรากฏค่ามากกว่า 0 เปอร์เซ็นต์แสดงว่าเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ฟ้องว่า ได้มีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายแล้วเนื่องจากเซลล์ลิมโฟไซต์จะบวม โตขึ้นอย่างผิดปกติได้ ก็ต่อเมื่อมันได้รับการกระตุ้นจากสาร "antigen" จากจุลชีพก่อโรคหรือเหตุใดเหตุหนึ่ง
ค่าผิดปกติ
- ในทางน้อย ไม่มี หรือไม่ถือว่าผิดปกติ
- ในทางมากอาจแสดงผลว่า
ข้อสังเกต เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี นับเป็นไวรัสที่มีความร้ายแรงมากอีกชนิดหนึ่งที่วงการแพทย์ปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้ รวมทั้งเมื่อมันเข้าสู่ตับได้แล้วย่อมก่อให้เกิดโรคตับอักเสบที่ยากต่อการรักษาและนำไปสู่โรคมะเร็งตับได้
Mono
วัตถุประสงค์
เพื่อทราบจำนวนของ monocyte (โมโนไซต์) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของในเลือดขาว (WBC) อีกชนิดหนึ่งทั้งนี้โดยธรรมดาการรายงานผลของค่า monocyte จะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของ WBC
คำอธิบายอย่างสรุป
- Monocyte เป็นเซลล์หน่วยย่อยชนิดหนึ่งของ WBC นับว่าเป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดกล่าวคือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 14-19 ไมครอน ในภาวะปกติจะมีจำนวนประมาณ 300-600 เซลล์ต่อ 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
- Monocyte ถือกำเนิดขึ้นมาจากไขกระดูกต่อเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจึงเข้าสู่กระแสเลือดมันมักจะทำหน้าที่คล้ายกันกับนิโตรฟิลส์ ในการกำจัดจุลชีพก่อโรคหรือเชื้อโรคแปลกปลอมด้วยกระบวนการกลืนกิน (phagocytosis, phago = กิน, cyto = เซลล์, osis = กระบวนการ) Monocyte ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "phagocyte" ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า "เซลล์นักกลืนกิน"
- หน้าที่ปกติของ Monocyte ในการกำจัดเชื้อโรคแปลกปลอมนั้นจะจำกัดขอบเขตของตนเองอยู่แต่ภายในหลอดเลือดเท่านั้น
- ในกรณีมีจุลชีพก่อโรค (pathogen) บุกรุกทำลายเซลล์ที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อภายนอกหลอดเลือดจนมีสารพิษ (toxic) อันเกิดจากการปล่อยของจุลชีพก่อโรคเหล่านั้นฟุ้งกระจายจนชักนำให้ Monocyte ที่อยู่ในหลอดเลือดตรวจพบ มันก็จะทำการปรับปรุงตัวเองให้"รีดเรียว" เล็กลงจนสามารถรอดผ่านรูที่ผนังหลอดเลือดจนออกไปยังเนื้อเยื่อและตรงไปยังเซลล์ที่บาดเจ็บเหล่านั้นได้ ภายหลังจากนั้นโดยธรรมดา Monocyte จะใช้ระยะเวลาประมาณ 72 ชั่วโมง ในการวิวัฒนาการตัวเองกลับคืนให้ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ จนได้ขนาดทำให้ได้นามเรียกขานใหม่ว่า "แมคโครฟาจ" (macrophage, macro = มาก, กว้าง, ใหญ่, phage = กิน) ฝรั่งจึงแปล macrophage ว่า "big eater" ผมจะขอเรียกชื่อในภาษาไทยอย่างง่ายๆ ว่า "จอมเขมือบปากกว้าง"
- Macrophage ซึ่งเป็นจอมเขมือบปากกว้างนี้ออกจะมี "ลีลาการเขมือบ" ตามที่ปรากฏในตำราทางการแพทย์ซึ่งค่อนข้างพิสดารกล่าวคือมันจะกระทำเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้
- ก. การเข้าประชิด (adherence) ต่อเซลล์แปลกปลอมหรือจุลชีพก่อโรคใดๆ แล้วมันจะอ้าปากในทำนองอ้าแขนเข้าโอบล้อม (engulf) จนมิดชิดแม้เซลล์เป้าหมายที่เป็นเหยื่อใหญ่โตกว่าตัวมันใดก็ตาม
- ข. การเขมือบกลืน (ingestion) จะค่อยๆ เริ่มเมื่อมันอมเชื้อจุลินทรีย์ใดที่แม้จะใหญ่แค่ไหน ห่างมันอมจนมิดปากได้แล้วมันก็จะค่อยๆ เอากลืนกินสิ่งที่มันอมไว้นั้น ลงลึกเข้าไปภายในตัวมันแล้วเตรียมการย่อย
- ค. การค่าและการย่อยสลายด้วยเอนไซม์ (enzymatic digestion) จะเป็นลำดับขั้นตอนสุดท้ายที่จุลชีพก่อโรคซึ่งถูกเขมือบจะถูกย่อยสลายจนแม้แต่ซากศพก็ไม่เหลือ
- โดย-ความสามารถพิเศษของการย่อยด้วยเอนไซม์ดังว่านั้นมันจึงจะฆ่าแบคทีเรียได้ 100 กว่าตัวก่อนที่ตัวมันเองจะสิ้นอายุขัยเพราะพิษของเอนไซม์จากตัวเองเหมือนกัน
- Macrophage มีบทบาทสำคัญยิ่งในการช่วยปกป้องร่างกายโดยทำงานร่วมกับ NK cells และ cytotoxic T-cells
ค่าปกติของ Monocyte
- ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
- ค่าปกติทั่วไป
Mono = |
% WBC
2 – 8 |
หน่วยนับสมบูรณ์ Absolute count (per mm3) 100 – 700 |
ค่าผิดปกติ
- ในทางน้อย ถือว่าไม่สำคัญ
- ในทางมาก อาจแสดงผลว่า
- อาจเกิดจากร่างกายได้รับการติดเชื้อในบางโรค เช่น โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบจากแบคทีเรียชนิดไม่รุนแรง (subacute bacterial endocarditis) โรควัณโรค โรคตับอักเสบ (hepatitis) โรคมาลาเรีย
- อาจเกิดโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งของต่อม (carcinoma) มะเร็งเม็ดเลือดขาวของเซลล์โมโนไซต์ (monocytic leukemia) มะเร็งปุ่มน้ำเหลือง (hymphoma)
Eos
วัตถุประสงค์
เพื่อทราบจำนวนอีโอซิโนฟิล (eosinophil เขียนย่อๆ ว่า Eos) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาวว่ามีจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC)
คำอธิบายอย่างสรุป
- อีโอซิโนฟิล มีต้นกำเนิดและเติบโตขึ้นมาจากไขกระดูก เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีลักษณะรูปร่างทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-12 ไมครอน
- ในภาวะปกติ อีโอซิโนฟิล จะมีจำนวนเพียงประมาณร้อยละ 1-4 ของ WBC หรืออยู่ในเลือดประมาณ 150-300 เซลล์ต่อ ลบ.มม.
- อีโอซิโนฟิล มีหน้าที่ทำลายสารที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ซึ่งหากปล่อยไว้จะก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น สารจากตัวอ่อน(larva) ของพยาธิตัวกลม พยาธิเฮลมินท์ (helminths) สารก่อภูมิแพ้จากมะเร็งบางชนิดและสารจากยาบางอย่าง
ค่าปกติของ Eosinophil
- ให้ยึดถือตามข้าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
- ค่าปกติทั่วไป
Mono = |
% WBC
2 – 8 |
หน่วยนับสมบูรณ์ Absolute count (per mm3) 100 – 700 |
ค่าผิดปกติ
1. ในทางน้อยมีศัพท์เรียกว่า eosinophil ซึ่งอาจแสดงผลว่า
- ร่างกายอาจกำลังตกอยู่ในความเครียด สภาวะเช่นนี้ต่อมหมวกไตจะหลั่งฮอร์โมนออกมาตัวหนึ่งชื่อ "คอร์ติโคสเตอรอยด์" (corticosteroids) ซึ่งสร้างความเสียหายไปทั่วร่างกายรวมทั้งมันจะลดค่า eosinophil ให้ลดลงอย่างรวดเร็วด้วย
- ร่างกายอาจกำลังเกิดอาการ Cushing Syndrome ซึ่งมักจะมีไขมันในร่างกายส่วนบนมากผิดปกติจนทำให้ใบหน้ากลม คอกลม แต่แขนเล็กลีบ ความดันเลือดสูงขึ้น น้ำตาลในเลือดมีค่ามากขึ้นมีอาการเหนื่อยผิดปกติทั้งหมดนั้นก็มาจากเหตุที่ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตในระดับสูงเข้ามาอยู่ในกระแสเลือดนานเกินไป
2. ในทางมากมีศัพท์เรียกว่า eosinophilia ซึ่งอาจแสดงผลว่า