สวัสดีค่ะ หนูมี พสพ กับแฟนวันที่2 มิ. ย แล้วก็กินยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายในทันทีแล้วก็ตามเม็ดที่2ภายใน12ชั่วโมง แล้ววันที่7มิ. ย มีเลือดออกมาเยอะมาก มีอาการปอดท้อง คือไม่แน่ใจว่าเป็นประจำเดือนหรือผลข้างเคียงของยา เพราะปกติประจำเดือนจะมาวันที่22ของทุกเดือน

หากไม่ตั้งครรภ์ ผู้ใช้ยาคุมฉุกเฉินมากกว่า 90% จะมีประจำเดือนมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4 วันค่ะ ซึ่งประจำเดือนปกติควรจะมีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน และมาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วันนะคะ

ส่วนเลือดกะปริบกะปรอย ไม่ได้มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย ที่อาจพบภายใน 7 วันหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน หรืออาจไม่พบเลยก็ได้ เป็นเพียงผลข้างเคียงจากยาค่ะ ไม่ได้สำคัญอะไร

ดังนั้น หากที่ผ่านมาผู้ถามมีประจำเดือนมาตรงเวลาสม่ำเสมอ เลือดที่ออกล่าสุดนี้ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ตกขาวผิดปกติ, มีกลิ่นเหม็นคาวหรือกลิ่นรุนแรง, แสบหรือคันช่องคลอด หรือปวดท้องรุนแรง) ก็น่าจะเป็นเพียงเลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉินนั่นเองนะคะ

และหากเป็นเช่นนั้น ก็จะยังสรุปไม่ได้ว่าผู้ถามจะตั้งครรภ์หรือไม่ เนื่องจากประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินไม่ได้สูงนัก แม้จะใช้เร็วและครบขนาดก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้อย่างน้อย 15% จึงต้องรอดูต่อไปว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่

แนะนำเช่นนี้นะคะ...

1. หากไม่มีประจำเดือนมาตามรอบปกติ ควรตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันค่ะ

2. หากเลือดที่ออกมานี้มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ปวดท้องรุนแรง) ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริงและพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม

3. ครั้งต่อไปที่จะมีเพศสัมพันธ์ หากผู้ถามไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใด ๆ อยู่ และยังไม่พร้อมจะมีบุตร ควรให้แแฟนใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะหากใช้ถูกต้องและถุงยางไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด จะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 2% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวล และยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยค่ะ

ในกรณีที่เลือดกะปริบกะปรอยดังกล่าวเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน อาจพบอยู่เพียงแค่วันเดียว หรือเป็นต่อเนื่องกันเพียงไม่กี่วัน ก็จะหายไปเองค่ะ

ดังนั้น หากผู้ถามมีเลือดกะปริบกะปรอยออกมาหลายวัน (มากกว่า 5 - 7 วันขึ้นไป) แล้วยังไม่หาย หรือว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมนะคะ