ประจำเดือนมานานมา19วันแล้วค่ะ ที่มาก็มากระปริดกระปอย มาเป็นสีน้ำตาล ส่วนตัวเวลาเป็นประจำเดือนมาชอบปวดท้องมาก และก็มาอาทิตย์นึงเต็ม และก็มามากด้วยค่ะ แต่เดือนนี้มานานกว่าปกติ จะเป็นไรไหมคะ แล้วควรไปหาหมอไหม

สวัสดีครับ
โดยปกติแล้วประจำเดือนที่ปกติควรมาติดต่อกันไม่เกิน 7 วันครับ การที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดติดต่อกันเป็นเวลานานในลักษณะนี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ
- มีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ
- มีการอักเสบติดเชื้อในช่องคลอดหรืออุ้งเชิงกราน
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ
- มีเนื้องอกบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใน
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อน เพื่อที่จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ

การที่ประจำเดือนมามากหรือมานาน เกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น เนื้องอกในมดลูก ติ่งเนื้อปากมดลูก การหนาตัวผิดปกติของมดลูก ความผิดปกติของการเเข็งตัวของเลือด เป็นต้นครับ การรักษาอาจเป็นการใช้ยา เช่น ฮอร์โมนครับ

ถ้าฝังยาคุมหรือฉีดยาคุมกำนิด ปกติจะมีประจำเดือนออกกระปริบกระปรอย มาติดๆกันหลายๆวัน เป็นผลข้างเคียงจากยาฝัง\ยาฉีดคุมกำเนิดได้ครับ

ถ้าไม่เคยตรวจเเนะนำพบสูตินรีเเพทย์ครับ การที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ร่วมกับประจำเดือนมามาก ปวดประจำเดือนมาก อาจมีสาเหตุจากก้อนเนื้อในมดลูก ติ่งเนื้อภายในมดลูกเป็นต้นครับ (ต้องอัลตร้าซาวด์ถึงจะเห็น)

ถ้าตรวจเเล้วมีก้อนเนื้องอกในมดลูก หากขนาดโตมาก อาจต้องผ่าตัดครับ (พิจารณา ตามความต้องการมีบุตรด้วยถ้ายังอยากมีลูกก็ไม่ผ่าครับ)

ถ้ายังออกมากชุ่มผ้าอนามัยสี่ห้าเเผ่น มีหน้ามืดอ่อนเพลียมาก. ประจำเดือนมานานเกิน7วัน ปวดท้องน้อยมาก ควรไปพบสูตินรีเเพทย์ครับ

ส่วนสาเหตุอื่นๆ กรณีปวดประจำเดือน ประจำเดือนมานาน ร่วมกับมีอาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ อาจคิดถึงภาวะปวดประจำเดือนที่มีสาเหตุจำเพาะ(Secondary dysmenorrhea) เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่(ช็อคโกเเลตซีสต์) เป็นต้นครับ

โดยปกติประจำเดือนมาไม่ควรเกิน7วัน ครับ หากประจำเดือนมานานกว่า7วัน เรียกว่าHypermenorrhea หากมีอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือนด้วยและประจำเดือนมามากเรียกว่า Hypermenorrhagia ซึ่งมีสาเหตุได้หลายประการ เช่น
1.เนื้องอกบริเวณมดลูก
2.เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่
3.การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
4.ความแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
5.ระดับฮอร์โมนเพศไม่สมดุล
6.ซีสต์บริเวณรังไข่
7.การตั้งครรภ์นอกมดลูก
8.การใช้การคุมกำเนิดแบบต่างๆ เช่น ยากินคุมกำเนิด ยาฉีดหรือยาฝังคุมกำเนิด
ฉะนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายใน อัลตร้าซาวน์ ตรวจเลือดเพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้นและรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป