March 12, 2017 16:31
ตอบโดย
นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (แพทย์ทั่วไป) (พญ.)
เห็นด้วยค่ะ ว่าควรตรวจสุขภาพประจำปี เพราะโรคบางอย่างไม่มีอาการแสดง เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น เพื่อที่เมื่อตรวจแล้วพบความผิดปกติ จะได้รักษาทันอย่างท่วงทีหรือจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเหล่านี้
แต่คำว่าประจำปี ฟังดูเสมือนว่าต้องตรวจเป็นประจำทุกปี แต่ความจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกปี เพียงแต่ควรตรวจตามความจำเป็นของแต่ละคน ขึ้นกับอายุ เพศ และโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค เช่น กินอาหารรสจัด (หวาน มัน เค็ม) ทุกวันบริโภคเกินจนอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพควบคู่กับการไปตรวจร่างกาย
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
ชัยวัฒน์ จิรานันท์สกุล (หมอเปี๊ยก) (นพ.)
Check up การตรวจสุขภาพ
บทนำ
การตรวจสุขภาพ (Medical checkup, Check-up, Checkup, General medical examination, Periodic health evaluation, Annual physical examination, Preventive health examination) จัดเป็นการแพทย์ในสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive medicine) ได้แก่ การตรวจ และการให้คำปรึกษาโรค ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ หรือ ยังไม่พบโรค ซึ่งโดยทั่วไป แพทย์มักแนะนำให้มีการตรวจ และให้การปรึกษาปีละครั้ง ดังนั้นเราจึงมักเรียกว่า “การตรวจสุขภาพประจำปี”
การตรวจสุขภาพ ทำได้ในคนทุกเพศ และในทุกอายุ ปัจจุบันที่มีการให้ บริการในประเทศต่างๆทั่วโลกคล้ายคลึงกันรวมทั้งในประเทศไทย คือ การตรวจสุขภาพครรภ์มารดา การตรวจสุขภาพเด็กตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึงวัยเด็กเล็ก หรือ วัยเด็กโต และการตรวจสุขภาพ ผู้สูงอายุ
ความบ่อยของการตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพ พื้นฐานของแต่ละคน เป็นการตรวจสุขภาพเพื่อป้องกัน หรือคัดกรองเฉพาะโรค เช่น โรคมะเร็ง หรือ โรคทางตา เป็นการตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นการตรวจสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล หรือ เป็นการตรวจสุขภาพตามความประสงค์ของแต่ละคน ดังนั้น จึงมีได้ตั้งแต่ ตรวจทุก 3 เดือน เช่น ในผู้มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวาน ทุก 6 เดือน เช่น การตรวจสุขภาพฟัน ทุก 1 ปี เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี และทุก 1-3 ปี เช่น การตรวจภาพรังสีเต้านม หรือ แมมโมแกรม (Mammogram) เพื่อตรวจคัดกรองโรค มะเร็งเต้านม หรือ ทุก 5 ปี เช่น การส่องกล้องตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
การตรวจสุขภาพมีประโยชน์อย่างไร?
ในการป้องกันโรค แพทย์หวังประโยชน์ 3 ระดับ คือ ระดับปฐมภูมิ (Primary prevention) ระดับทุติยภูมิ (Secondary prevention) และระดับตติยภูมิ (Tertiary prevention) ซึ่งการตรวจสุขภาพสามารถให้ประโยชน์ได้ทั้ง 3 ระดับ
• -ระดับปฐมภูมิ คือ การป้องกันการเกิดโรค เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆที่มีวัคซีนทั้งในเด็กซึ่งเรามักคุ้นเคยกันดี เช่น วัคซีนโรคหัด โรคหัดเยอรมัน และโรคอีสุกอีใส และในผู้ใหญ่ เช่น วัคซีนโรคหัด โรคหัดเยอรมัน โรคบาดทะยัก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไวรัสตับอักเสบ บี
• -ระดับทุติยภูมิ คือ การตรวจค้นหาปัจจัยเสี่ยงของโรค เพื่อให้คำแนะนำในการป้องกัน หรือ ให้การรักษาโรคตั้งแต่ในระยะยังไม่มีอาการ ซึ่งจะให้ผลการ รักษา และควบคุมโรคได้ดีกว่าเมื่อโรคมีอาการแล้ว เช่น การตรวจวัดความดันโลหิต การตรวจเลือดดูค่าน้ำตาลในเลือดเพื่อคัดกรองโรคเบาหวาน การตรวจเลือดเพื่อคัดกรองโรคไตเรื้อรัง การตรวจตาดูโรคเบาหวานขึ้นตา และการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดที่มีวิธีตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ
• -ระดับตติยภูมิ คือ การให้การรักษาโรคแต่เนิ่น ๆ เพิ่งเริ่มเป็นซึ่งจะให้ผล การรักษาและควบคุมโรคได้ดีกว่าการรักษาเมื่อโรคลุกลามแล้ว
นอกจากนั้น แพทย์หลายท่าน ยังให้ความเห็นว่า การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับการตรวจ กับแพทย์ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ผู้รับการตรวจจะคุ้นเคยกับขั้นตอนการตรวจต่างๆ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในขั้นตอนวิธีตรวจรักษาดีขึ้น ช่วยลดปัญญาความไม่เข้าใจกันระหว่าง แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์กับผู้รับการตรวจ และครอบ ครัวได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการตรวจสุขภาพ คือ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การเสียเวลา และบางครั้งอาจตรวจบางอย่างที่ไม่จำเป็น
จำเป็นต้องตรวจสุขภาพหรือไม่? ใครบ้างควรตรวจสุขภาพ? และควรตรวจเมื่อไร?
ในภาพรวมทั้งประเทศ การตรวจสุขภาพ จัดเป็นบริการที่มีค่าใช้จ่ายในภาพรวมสูงมาก และยังไม่มีการศึกษาทางการแพทย์อย่างจริงจังที่สนับสนุนถึงการคุ้มทุนจากการตรวจสุขภาพ ดังนั้นการให้บริการของรัฐ จึงมักจำกัดเฉพาะ ”การตรวจสุขภาพทั่วไป หรือ การตรวจสุขภาพพื้นฐาน” ซึ่งสำหรับประเทศไทย คนไทยทุกคนสามารถขอรับการตรวจสุขภาพทั่วไปประจำปีได้กับทุกสถาน พยาบาล หรือ โรงพยาบาลของรัฐ ตามสิทธิ์ของแต่ละคน
การตรวจสุขภาพทั่วไป ได้แก่ การพูดคุยกับแพทย์ หรือ พยาบาล การตรวจชีพจร การตรวจวัดความดันโลหิต การตรวจร่างกายทั่วไปโดยแพทย์ การตรวจเม็ดเลือด (ตรวจ ซีบีซี/CBC) การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ และการตรวจเอกซเรย์ปอด ส่วนการตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ อยู่ในดุลพินิจของแพทย์ และการตรวจสุขภาพเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กล่าวแล้วตามความประสงค์ของแต่ละคน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการถ่ายภาพรังสีเต้านม หรือ แมมโมแกรม (Mammogram) เป็นต้น
คนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยเริ่มตั้งแต่ ทารกในครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ ไปจนถึงผู้ สูงอายุ ควรมีการดูแลสุขภาพ และได้รับการตรวจสุขภาพทั่วไปสม่ำเสมอทุกๆปี และตามคำแนะนำของแพทย์ และพยาบาล แต่การตรวจสุขภาพอื่นๆเพิ่มเติมที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ควรขอคำแนะนำจากแพทย์จะได้ประโยชน์ที่สุด
ปัจจุบัน ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนให้ประชาชนเรียนรู้การดูแลตนเอง มีการตรวจสุขภาพ โดยจัดส่งแพทย์ พยาบาลเคลื่อนที่เข้าไปให้ความรู้ และให้การตรวจสุขภาพทั่วไปให้กับประชาชนตามชุมชนต่างๆอย่างสม่ำ เสมอ ต่อเนื่อง
การตรวจสุขภาพมีขั้นตอนอย่างไร? ต้องตรวจอะไรบ้าง? ตรวจได้ที่ไหน? ทำไมขั้นตอนตรวจเยอะเหลือเกิน ต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นครึ่งวัน?
การตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจได้ทุกโรงพยาบาล แต่การตรวจสุขภาพที่นอก เหนือจากนี้ ให้บริการได้เฉพาะบางโรงพยาบาล ดังนั้นก่อนไปโรงพยาบาลจึงต้องศึกษาก่อนเสมอ เพื่อป้องกันการเสียเวลา
ขั้นตอน และระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับว่า เป็นการตรวจอะไร ใช้บริการของโรงพยาบาลอะไร ปริมาณแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และปริมาณคนไข้ของแต่ละโรงพยาบาล ซึ่งการช่วยประหยัดเวลา และได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการตรวจสุขภาพ เราควรมีการเตรียมตัวล่วงหน้า โดยการเตรียมตัวทั่วไปที่สำคัญ คือ
1. -เตรียมเอกสารสิทธิต่าง ๆให้ครบ หรือ ประวัติการตรวจในอดีตต่าง ๆ เพื่อแพทย์ใช้ในการเปรียบเทียบ เมื่อเป็นการตรวจต่างโรงพยาบาลกัน
2. -เมื่อมีการนัดตรวจ อ่านเอกสารแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวในการตรวจต่าง ๆก่อนออกจากบ้านซ้ำอีกครั้ง ให้เข้าใจก่อน และเพื่อความถูกต้อง อนึ่งเอกสารคำ แนะนำการตรวจต่าง ๆ เมื่อได้รับแล้ว ควรต้องอ่านให้เข้าใจตั้งแต่ได้รับเอกสาร เมื่อไม่เข้าใจให้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่แนะนำเอกสารให้เข้าใจก่อนกลับบ้าน
3. -งดอาหาร และน้ำดื่มให้ถูกต้อง
4. -เตรียมคำถาม ข้อสงสัย ต่าง ๆที่อยากทราบ หรือ อยากปรึกษาแพทย์ จดบันทึกให้เรียบร้อย พร้อม สมุด ปากกา เพื่อการสอบถามแพทย์ พยาบาล และจดบันทึกความจำ เพื่อประหยัดเวลา ถ้าเป็นไปได้ ควรศึกษา อ่านจากหนังสือ หรือ อินเทอร์เน็ต ในข้อสงสัยเป็นพื้นฐานล่วงหน้า เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการพูดคุย และในการถามแพทย์ได้ตรงเป้าหมายที่ตนเองต้องการ
5. -ไม่ควรมีการนัดหมายอื่นใดในวันตรวจ อย่างน้อยตลอดครึ่งวัน เพื่อจะได้ไม่หงุดหงิดเมื่อต้องใช้เวลาในการรอคอยการตรวจ
6. -ไปโรงพยาบาลตรงเวลาตามนัด
7. -แต่งตัว รวมทั้ง ถุงเท้า รองเท้า เสื้อชั้นใน ให้สะดวกกับการถอดและสวมใส่ เพื่อสะดวกในการตรวจ และบ่อยครั้ง มักต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อใช้เสื้อ ผ้าของโรงพยาบาล เพื่อความสะดวกในการตรวจของแพทย์
8. -มีเพื่อน หรือ ญาติไปด้วยเมื่อเป็นการตรวจที่ต้องมีหัตถการ หรือ การตรวจที่ใช้เทคโนโลยี เช่น การส่องกล้อง การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอ็มอาร์ไอ
มีค่าใช้จ่ายอย่างไร?
ค่าใช้จ่ายในการตรวจสุขภาพทั่วไป อยู่ในการดูแลสุขภาพประชาชนของรัฐบาลอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อขอรับการตรวจจากหน่วยงานของรัฐต่างๆตามสิทธิของแต่ละคน จึงไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร ยกเว้นเมื่อประสงค์จะตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ดังนั้น จึงควรศึกษาสิทธิ์ต่างๆในด้านสุขภาพของท่านเสมอก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ
ส่วนการตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลเอกชน จะมีหลากหลายรูปแบบ อาจอยู่ในรูปแพคเกจ (Package) ให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน ซึ่งค่าใช้ จ่ายในการตรวจจะขึ้นกับว่าเราต้องการตรวจอะไรบ้าง มาก หรือ น้อย เป็นการตรวจด้วยเทคโนโลยีระดับสูงหรือไม่ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราต้องเป็นผู้รับผิด ชอบเอง ซึ่งถ้าสนใจ ควรสอบถามจากประชาสัมพันธ์ของแต่ละโรงพยาบาล หรือ สืบค้นจากเว็บไซต์ต่างๆจากอินเทอร์เน็ต
คำถามบ่อยในการตรวจสุขภาพ
ทำไมต้องอดอาหารและเครื่องดื่มก่อนตรวจเลือด?
ในการตรวจสุขภาพ หรือ ตรวจเลือด โดยทั่วไปที่ต้องงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก็เพื่อให้ได้ค่าผลตรวจที่แน่นอน เป็นความจริง ไม่ได้ถูกรบกวนให้ผลผิดพลาดจากสารอาหารที่เรากิน นอกจากนั้น ยังเพื่อการเปรียบเทียบค่าผลการตรวจในแต่ละครั้งได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีตัวแปรจากอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ค่าโปรตีน หรือ ค่าน้ำตาลในเลือด เป็นต้น แต่มีการตรวจเลือดหลายชนิดที่ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร และเครื่องดื่ม เช่น การตรวจเลือด ซีบีซี/CBC แต่ทั้งนี้ เมื่อการตรวจแต่ละครั้ง มีการตรวจหลายชนิดร่วมกันในครั้งเดียว จึงทำให้เข้าใจผิดได้ว่า การตรวจเลือดทุกอย่างต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม
ดังนั้น เมื่อต้องมีการตรวจเลือด จึงควรสอบถาม แพทย์ หรือพยาบาลทุกครั้งว่า จำเป็นต้องงดอาหารและเครื่องดื่ม หรือไม่ และกี่ชั่วโมง
กินอาหารได้เมื่อไรหลังตรวจเลือดแล้ว?
โดยทั่วไป เมื่อเจาะเลือดเรียบร้อยแล้ว มักกินอาหาร และดื่มน้ำได้เลย ยก เว้น มีการตรวจอื่นๆต่อเนื่อง เช่น การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง หรือ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ดังนั้น จึงควรต้องสอบถามแพทย์ หรือ พยาบาลที่ให้การดูแลว่า กินอาหาร ดื่มน้ำได้เมื่อไหร่ อย่าถามเจ้าหน้าที่ที่เจาะเลือด เพราะเจ้าหน้าที่ฯจะให้คำตอบไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ดูแลเรา จึงไม่รู้ว่าเราต้องมีการตรวจ รักษาอะไร อย่างไร ต่อเนื่องเพิ่มเติมหรือไม่
ทำไมตรวจอัลตราซาวนด์ต้องกินน้ำมาก ๆและกลั้นปัสสาวะ?
การตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียง โดยมีหลักการว่า อวัยวะต่างๆกัน ให้การสะท้อนของคลื่นเสียงต่างกัน นอกจากนั้น หลายๆอวัยวะในร่างกายจะวางอยู่ทับซ้อนกัน เช่น ต่อมลูกหมากกับกระเพาะปัสสาวะ หรือมดลูกและรังไข่กับกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น ดังนั้น การตรวจอวัยวะที่ทับซ้อนกันเหล่านี้ แพทย์ต้องใช้วิธีให้ความหนาแน่นของแต่อวัยวะต่างกัน เพื่อสะท้อนคลื่นเสียงได้ต่างกัน เพื่อทำให้แพทย์สามารถตรวจภาพอวัยวะเหล่านั้นได้ถูกต้องขึ้น เช่น การดื่มน้ำมากๆ และกลั้นปัสสาวะในการตรวจรังไข่ หรือ มดลูก หรือ ต่อมลูกหมาก ก็เพื่อทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายจากมีน้ำ จึงแยกได้ง่ายจากอวัยวะอื่น และกระเพาะปัสสาวะที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกลั้นปัสสาวะ ยังช่วยดันลำไส้ต่างๆออกห่างจากอวัยวะที่ต้องการตรวจอีกด้วย
จากที่กล่าวมาแล้ว การดื่มน้ำ และกลั้นปัสสาวะ จึงเป็นการตรวจอัลตราซาวนด์ของอวัยวะในช่องท้องน้อย/อุ้งเชิงกรานซึ่งมีกระเพาะปัสสาวะอยู่เท่านั้น ถ้าตรวจอัลตราซาวนด์อวัยวะอื่น ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ กลั้นปัสสาวะ เช่น อัลตราซาวนด์ตับ หรือ ต่อมไทรอยด์ เป็นต้น
ตรวจหัวใจทำไมผู้หญิงไม่ต้องตรวจเดินสายพาน?
การตรวจหัวใจด้วยการเดินสายพาน หรือ Treadmill หรือ Exercise stress test เป็นการตรวจหัวใจเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจซึ่งมักเกิดในผู้ชาย ส่วนผู้หญิงวัยยังมีประจำเดือน/วัยเจริญพันธุ์มักไม่พบโรคนี้ เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคนี้ ดังนั้นจึงมักไม่พบการตรวจเดินสายพานในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
ส่วนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน มีโอกาสเกิดโรคหัวใจสูงขึ้นใกล้เคียงกับผู้ชาย แต่ผู้หญิงวัยนี้ มักทนการเดินสายพานไม่ไหว ส่งผลให้การตรวจไม่ได้ผล
ด้วยเหตุผลทั้งหมดดังกล่าวแล้ว จึงมักไม่ค่อยมีการตรวจหัวใจด้วยการเดินสายพานในผู้หญิง
แพทย์รู้ได้อย่างไรว่าผลตรวจปกติ?
แพทย์แปลผลการตรวจต่าง ๆได้จาก การสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆทั้งในอดีต ปัจจุบันของผู้รับการตรวจ และของครอบครัว การงาน และอาชีพ การตรวจร่างกาย ซึ่งรวมถึงการตรวจวัดสัญญาณชีพ (ชีพจร ความดันโลหิตอัตราการหายใจ และอุณหภูมิร่างกาย) น้ำหนัก ส่วนสูง การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ (การแปลผลตรวจต่างๆ จะมีค่าปกติของแต่ละการตรวจกำกับอยู่ในใบรายงานผล) การตรวจทางรังสีวินิจฉัย (เอกซเรย์,จะมีแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ อ่านรายงานผล) และการตรวจต่าง ๆอื่น ๆ ซึ่งก็จะมีการบันทึกผลตรวจและการแปลผลจากแพทย์ผู้ให้การตรวจกำกับอยู่ในเวชระเบียน ซึ่งแพทย์ผู้ให้การตรวจจะนำผลเหล่านี้ มาประเมินร่วมกัน และชี้แจงกับผู้รับการตรวจ
ทำไมผลตรวจแต่ละครั้งไม่เหมือนกันแต่แพทย์ก็บอกว่าปกติ?
โดยทั่วไป ผลปกติจากการตรวจต่างๆทางห้องปฏิบัติการ จะไม่ใช่ตัวเลขเดี่ยว แต่เป็นช่วงตัวเลขเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะให้ผลไม่ตรงกันทุกๆครั้ง เพราะขึ้นกับความเข้มข้นของเลือดที่เจาะในแต่ละครั้ง และปริมาณสารอาหาร และน้ำในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ เช่น ค่าปกติของเม็ดเลือดขาวจากการตรวจ ซีบีซี อยู่ที่ช่วง 4,000-10,000 เซลล์ต่อเลือด 1 มิลลิลิตร เป็นต้น ดังนั้นค่าตัวเลขในช่วงดังกล่าว จึงถือเป็นค่าปกติทั้ง หมด
นอกจากนั้น ค่าปกติต่างๆยังขึ้นกับเทคนิคในการตรวจ ซึ่งมีได้หลายเทคนิค ชนิดน้ำยาที่ใช้ รุ่น และชนิดของเครื่องตรวจ และหน่วยที่ใช้ในการรายงานผล เช่น ค่าน้ำตาลในเลือดอาจรายงานผลเป็น มิลลิโมลต่อลิตร (mmol/l) หรือ เป็นมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dl) ดังนั้นในการดูค่าความแตกต่างในการตรวจแต่ละครั้ง จึงต้องรู้ปัจจัยต่างๆดังกล่าวด้วย
ควรจะตรวจสุขภาพตั้งแต่อายุเท่าใด?
ในความเป็นจริงควรเริ่มต้นตรวจสุขภาพตั้งแต่แรกเกิด จะเห็นได้ว่าหลังคลอดคุณหมอ
จะนัดพาเด็กไปตรวจสุขภาพชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง วัดรอบศีรษะและฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่สำหรับ
ผู้ใหญ่ที่ แข็งแรง ไม่มีโรค ทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวอาจจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 35 ปี แต่หากคุณเป็น
คนอ้วน มีประวัติ เบาหวานในครอบครัว ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ไขมันสูงใน
ครอบครัว หรือ เจ็บป่วยบ่อย ก็อาจจะเริ่มต้นตรวจที่อายุน้อยกว่านี้ เรื่องความถี่ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตรวจพบ
หากพบว่ามีโรคหรือ เสี่ยงต่อการเกิดโรคก็อาจจะต้องตรวจถี่ หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุก 3-5 ปี
สรุป
ในความเห็นของแพทย์ส่วนใหญ่ ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ควรมีการตรวจสุขภาพทั่วไป ปีละครั้ง หรือ ตามคำแนะนำของแพทย์
-การตรวจสุขภาพมีความสำคัญอย่างไร และเหตุใดจึงต้องมีการตรวจสุขภาพประจำปี
ความมุ่งหมายการตรวจสุขภาพประจำปี (The Purposes of Annual Check-up)
Prevention is better than cure. การป้องกันโรค ดีกว่าการมารักษาเมื่อเป็นโรคแล้ว
Screening ตรวจคัดกรองให้พบโรคแต่เนิ่น ๆ ก่อนเป็น หรือก่อนมีอาการ
การตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีความจำเป็น เพื่อให้คุณมีสุขภาพดี มีชีวิตยืนยาว และเป็น
การส่งเสริม คุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
-เพื่อจะได้ทราบว่าร่างกายแข็งแรงเป็นปกติหรือไม่
-เพื่อตรวจค้นว่ามีโรคใดเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะมีหลายโรคที่เกิดขึ้นแล้วผู้ป่วยไม่รู้ตัว
หรือไม่มีอาการ เช่น วัณโรคปอด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
หรือ มะเร็งในระยะเริ่มแรก ฯลฯ เมื่อตรวจพบแล้วจะได้รีบรักษา ย่อมมีโอกาสหายเร็ว
-เพื่อการที่จะได้พูดคุยซักถาม และรับคำแนะนำจากแพทย์ ในการปฏิบัติตนให้มีสุขภาพดี
ทั้งร่างกายและจิตใจ
-To know whether you are really healthy or not.
-To find out whether there are hidden or insidious diseases eg.,
Pulmonary tuberculosis, Diabetes, Hypertension, Heart disease or early cancer
which if being treated in early stage will yield better results.
-To have consultation and counselling with a doctor for the way to
healthy mental and physical state.
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ครวจะเนันให้ประชาชนมีการตรวจสุขภาพประจำปี..เพื่อจะได้รู้ถึงสุขภาพของตัวเอง..และจะได้มีการรักษาให้ถูกต้อง
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)