หนูอายุ24ปีค่ะ น้ำหนัก72 ส่วนสูง155ค่ะ หนูกินยาคุมมาตั้งแต่ปี2559 ถึงเดือนกันยายน2561 แล้วหนูก็หยุดยาคุมค่ะหลังจากหยุดได้วันนึงหนูก็กินยาคุมฉุกเฉินแค่ครั้งเดียวค่ะหลังจากนั้นก็ใช้ถุงยางอนามัยมาตลอดค่ะ(ในระหว่างนี้น้ำหนักหนูขึ้นเป็น20กิโลเลยค่ะ)​พอถึงเดือนธันวามคม2561 ประจำเดือนหนูก็ไม่มาค่ะ ยาวมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน2562ค่ะ(เกือบปีเลยค่ะ)​ ในระหว่างนั้นตลอดทั้งปีหนูไปหาหมอ3ครั้ง หมอตรวจปัสสาวะ ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ทุกครั้งแล้วก็บอกให้ไปลดน้ำหนักค่ะ หนูก็พยายามลดมาตลอดค่ะแต่เหมือนจะลงไม่ถึง3โลเลยค่ะ จนกระทั้งเดือนพฤศจิกายน2562ที่ผ่านมาหนูไปหาหมออีกครั้ง หมอบอกให้กลับไปกินยาคุม พอกินหมดแผง 3วันหลังจากนั้นประจำเดือนหนูมาเป็นเขื่อนแตกเลยค่ะ มาเยอะมากต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก20นาทีค่ะเพราะล้นตลอดวันนึงหนูใช้เกือบ20แผ่น แล้วก็ปวดท้องประจำเดือนมากค่ะแบบที่ไม่เคยปวดขนาดนี้มาก่อน หลังจากประจำเดือนหมดซึ่งมาทั้งหมด8วันค่ะ พอยกของหนักหรือแค่ไอหรือจาม ก็จะปวดท้องหน่วงๆอยู่เป็นอาทิตย์เลยค่ะ แล้วเวลามีเพศสัมพันธ์ก็จะเจ็บหน่วงๆมาตลอดเลยค่ะ หนูอยากทราบว่าประจำเดือนที่มาเยอะแบบนี้อันตรายมั้ยคะ เสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไรมั้ยคะ แล้วหนูจะมีลูกยากรึเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ
สาเหตุที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดได้แก่
-ภาวะอ้วน
-ภาวะถุงน้ำรังไข่
-การใช้ยาคุมที่ผิดวิธี
-การติดเชื้อในโพรงช่องคลอด
-เรื้อบอกโพรงมดลูกหรือปากมดลูก

แนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวช เพื่อประเมินหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งค่ะ

สวัสดีครับ
ในกรณีของผู้ถามนั้นประกอบด้วย 2 ปัญหาครับ คือปัญหาที่มีน้ำหนักขึ้นอย่างผิดปกติ 20 กิโลกรัม หากเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นานและไม่มีการเปลี่ยนแปลงการทานอาหาร ควรที่จะไปพบอายุรแพทย์เพื่อหาสาเหตุครับ
เรื่องที่สองคือปัญหาการมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ปัญหานี้อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่น
- มีติ่งเนื้อในมดลูก
- มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- เนื้องอกกล้ามเนื้อในมดลูก
- การเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูกผิดปกติ
- มะเร็ง
- ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- การตกไข่ผิดปกติ เช่น โรค PCOS, โรคไทรอยด์, น้ำหนักตัวมากหรือผอมเกินไป, ออกกำลังกายหนักเกินไป, เครียด เป็นต้น
- การทานยาบางชนิด เช่น ยาด้านจิตเวชบางตัว, ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน, ยาคุมกำเนิดชนิดโพรเจสเทอโรน เป็นต้น
สาเหตุต่างๆที่ได้กล่าวไปเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ซึ่งการวินิจฉัยต้องอาศัยการซักประวัติ และตรวจร่างกายเพิ่มเติม รวมถึงการพิจารณาส่งตรวจทางรังสีวิทยา และพยาธิวิทยาครับ ดังนั้นควรไปพบสูตินรีแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจและให้การรักษาครับ