ผมจับเจอก้อนเนื้อแถวๆ คอครับกดไปรู้สึกช้ำๆ กลืนน้ำลายขัดๆ มีอาการเจ็บคอนิดหน่อยครับ ผมจะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รึเปล่า ครับ

สวัสดีครับ
การมีก้อนที่คอนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่โตมากผิดปกติ ก้อนของต่อมไทรอยด์ ฝีใต้ผิวหนัง ซิสต์ใต้ผิวหนัง ก้อนไขมันใต้ผิวหนังที่เจริญมากผิดปกติ

.

ส่วนในกรณีของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นจะทำให้เกิดต่อมน้ำเหลืองโตในหลายๆส่วนของร่างกาย ร่วมกับอาการมีไข้ เหงื่อออกกลางคืน น้ำหนักลดครับ ถ้าหากไม่ได้มีอาการในลักษณะนี้โอกาสที่จะเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองก็มีได้น้อย

ในกรณีนี้หมอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินอาการเพิ่มเติมให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อที่จะได้ให้การรักษาได้อย่างเหมาะสมครับ ยังไม่ควรต้องกังวลเรื่องการเป็นมะเร็งมากนักครับ

ก้อนที่คอเกิดได้จากหลายสาเหตุสามารถแบ่งตามระยะเวลาในการพบก้อนที่คอได้ดังนี้
1. ก้อนที่คอเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน (Acute neck masses) พบก้อนที่คอในทันทีหรือพบในระยะเวลาไม่กี่วัน ส่วนใหญ่จะมีอาการร่วม เช่น เจ็บบริเวณก้อน, เจ็บคอ, กลืนเจ็บ เป็นต้น สาเหตุที่เป็นไปได้ คือ อาจเกิดจากการได้รับการกระทบกระแทกทำให้มีการช้ำ มีเลือดออกใต้ผิวหนัง (Hematoma) ทำให้เกิดก้อนขึ้นมา หรืออาจเกิดจากการอักเสบติดเชื้อของต่อมน้ำเหลือง (Lymphadenitis) หรือต่อมน้ำลาย (Acute sialadenitis) ซึ่งการติดเชื้อเป็นไปได้ทั้งจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
2.ก้อนที่คอเกิดขึ้นกึ่งเฉียบพลัน (Subacute neck masses) พบก้อนที่คอในระยะเวลาประมาณหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน สาเหตุที่เป็นไปได้ คือ การอักเสบเรื้อรังของต่อมน้ำลาย (Chronic sialadenitis) ซึ่งมักจะมีอาการเจ็บหลังจากทานอาหาร, มะเร็งของระบบน้ำเหลือง (Lymphoma), มะเร็งของระบบทางเดินหายใจส่วนบน (Upper aerodigestive tract squamous cell carcinoma), มะเร็งที่กระจายมาจากอวัยวะหรือระบบอื่น (Metastatic cancer) เป็นต้น
3.ก้อนที่คอที่เกิดขึ้นมานานแล้ว (Chronic neck masses) พบก้อนที่คอในระยะเวลานาน เป็นมาหลายปี หรือเป็นมาตั้งแต่กำเนิด สาเหตุที่เป็นไปได้ คือ ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (Enlarged thyroid), ก้อนที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodules), ก้อนไขมัน (Lipoma), ก้อนซีสต์ที่เกิดจากการพัฒนาผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (Thyroglossal duct cyst) ซึ่งจะพบก้อนนี้ตั้งแต่กำเนิด ก้อนจะขยับขึ้นลงได้ตามการกลืน เป็นต้น
...
การวินิจฉัยก้อนที่คอนั้นต้องอาศัยการซักประวัติ และตรวจร่างกายเพิ่มเติม ตลอดจนการส่งตรวจชิ้นเนื้อในกรณีที่สงสัยว่าเป็นเนื้อร้ายครับ ดังนั้นแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจและให้การรักษาครับ