พอดีปกติหนูทานยาคุมแบบ 28 เม็ดมาประมานปีกว่าๆค่ะ แล้วเพิ่งมาหยุดทานเดือนที่ผ่านมา ก่อนหยุดทาน ปจด หนูจะมาตรงกันทุกเดือนหรือเลทสุดก็ไม่เกิน 1-2 วันค่ะ แต่หลังจากหยุดทานมา ปจด ยังไม่มาค่ะ เลทมาวันนี้วันที่ 7 แล้วค่ะ ปกติหรือผิดปกติค่ะ

สวัสดีครับ
หลังจากหยุดรับประทานยาคุม ร่างกายก็จะไม่ได้รับการควบคุมฮอร์โมนจากยาคุมอีก ทำให้ประจำเดือนอาจมาในลักษณะที่ไม่ตรงตามรอบเหมือนกับในช่วงที่ยังรับประทานยาคุมอยู่ได้ครับ ซึ่งถ้าหากประจำเดือนเพิ่งมาช้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจรอสังเกตดูประจำเดือนต่อไปก่อนได้ เนื่องจากอาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนออกไป เช่น ไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนที่ผ่านมา ระดับฮอร์โมนในเลือดที่ผิดปกติ ความเครียด น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป แต่ถ้าหากประจำเดือนขาดหายไปนานกว่า 3 เดือนหรือมีปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออยู่บ่อยๆก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุครับ

แต่ถ้าหากมีความกังวลเรื่องการตั้งครรภ์อยู่ก็สามารถลองตรวจการตั้งครรภ์ยืนยันให้แน่ใจได้ โดยให้ตรวจห่างจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 14 วันและใช้ปัสสาวะแรกหลังตื่นนอนตอนเช้าในการตรวจ ก็จะให้ผลตรวจที่เชื่อถือได้ 97-99% ครับ

หากยาคุมแบบ 28 เม็ดที่ผู้ถามใช้คือ ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ด ถ้าใช้ถูกต้องและไม่ตั้งครรภ์ ผลจากการได้รับและไม่ได้รับฮอร์โมนจากการใช้ยาคุม ก็จะทำมีประจำเดือนมาในช่วงที่รับประทาน "เม็ดแป้ง" ของแผงค่ะ

แต่ไม่ว่าจะเคยรับประทานต่อเนื่องกันมานานแค่ไหนก็ตาม เมื่อไม่ได้ใช้ต่อก็ถือว่าไม่มีผลคุมกำเนิดจากยาแล้วนะคะ ดังนั้น หากผู้ถามมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือป้องกันด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำ ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากค่ะ

ดังนั้น ถ้ามีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ ก็ควรตรวจให้ชัดเจนนะคะ โดยใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วัน

แต่ถ้าไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ เช่น ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกเลยนับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมาในรอบล่าสุดเป็นต้นมา ก็เป็นไปได้ว่าประจำเดือนรอบนี้ของผู้ถามจะมาตามผลของฮอร์โมนตามธรรมชาติในร่างกายของผู้ถามเองค่ะ ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนได้จากความเครียด, โรค/การเจ็บป่วย หรือแม้แต่ความแปรปรวนของฮอร์โมนตามวัย

ดังนั้น หากไม่มีประจำเดือนมาติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือถ้ามีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่เรื่อย ๆ ก็ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริง และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมนะคะ