หนุทานยาคุมแบบแผงหมดแผงแรกแล้วหยุดประจำเดือนก็มาปกติแล้วหนูมาเริ่มทานแผงที่2แต่หนูดันลืมทานไป2วันแล้วประจำเดือนก็มาอีกทั้งที่แผงแรกหนูก็ลืมแต่ประจำเดือนก็ไม่มาหนูก็มาทานทบเอา พอประจำเดือนที่มาจากการลืมทานยาคุมหมดหนูยังไม่ได้ซื้อแผงใหม่มาทานต่อแล้วหนูมีอะไรกับแฟนแบบไม่ป้องกันแฟนเสร็จนอกแต่เขาเอามือที่เปื้อนน้ำมาสอดใส่ของหนู หนูมีโอกาสท้องไม่คะ แล้วหลังจากนั้นหนูก็ซื้อยาคุมแผงใหม่มาทานแล้วมีอาการคลื่นไส้ เจ็บนม เวียนหัว ทำอะไรก็เหมือนเหนื่อยง่าย นอนทั้งวัน แบบนี้คือผลข้างเคียงตากยาคุมหรือเปล่าคะ เพราะแผงแรกหนูไม่มีอาการแบบนี้เลย

เนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดของการใช้และลืมใช้แผงที่สอง จึงไม่มั่นใจว่ามีความเสี่ยงที่ผู้ถามจะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ไม่มีผลคุมกำเนิดจากยาหรือไม่นะคะ

ส่วนอาการที่เกิดขึ้น ไม่ใช่อาการที่จำเพาะเจาะจงค่ะ อาจเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมที่ใช้ได้เช่นกัน

ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะให้คำตอบได้ว่าผู้ถามมีการตั้งครรภ์หรือไม่ แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน แล้วตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

หากใช้ชุดทดสอบถูกวิธีตามที่ระบุไว้ในฉลาก และตรวจในเวลาที่เหมาะสมตามที่กล่าวไปข้างต้น เมื่อได้ผลตรวจออกมาเป็น 1 ขีด ก็เชื่อมั่นได้มากกว่า 99% ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ

1. รับประทานเม็ดสุดท้ายของแผงแรกในวันที่เท่าไหร่และเดือนอะไรคะ
2. ประจำเดือนที่มาหลังจากใช้แผงแรกหมด มาตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่คะ
3. ปัจจุบัน รับประทานยาคุมยี่ห้ออะไร และวันนี้กำลังจะรับประทานเม็ดที่เท่าไหร่ของแผงคะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

หากผู้ถามมีประจำเดือนมาหลังจากที่ใช้ยาคุมแผงแรกหมด เลือดที่ออกมาหลังจากที่ลืมรับประทานเม็ดที่ 5 และ 6 ของแผงที่สองก็ไม่ควรจะเป็นประจำเดือนค่ะ แต่อาจเป็นเลือดกะปริบกะปรอยที่เป็นผลข้างเคียงจากยา ที่พบได้ในการใช้ยาคุมแผงแรก ๆ หรือเมื่อมีการรับประทานที่ไม่ตรงเวลาหรือลืมรับประทานยานั่นเองนะคะ

ดังนั้น นับจากวันที่ 11 ตุลาคม มาจนถึงปัจจุบัน ถ้าผู้ถามมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือป้องกันด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพต่ำอย่างการหลั่งนอก ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่าที่ควรจะเป็นนะคะ

ส่วนอาการที่พบในช่วงนี้ ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ว่าเกิดจากสาเหตุใดค่ะ เพราะอาจเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมเองก็ได้ หรืออาจเป็นผลจากฮอร์โมนในร่างกายของผู้ถามเองก็ได้เช่นกันนะคะ ซึ่งในกรณีที่ไม่ตั้งครรภ์ ก็อาจเป็นอาการก่อนมีประจำเดือนได้ค่ะ

ดังนั้น แนะนำเช่นนี้นะคะ

1. ให้หยุดใช้ยาคุมยาสมินแผงนี้ไปก่อน เพราะยังไม่มีผลคุมกำเนิดจากยา และอาจยิ่งทำให้ประจำเดือนยิ่งเลื่อนช้าออกไปมากขึ้นค่ะ

2. ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในช่วงที่ผ่านมา หากยังไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ให้รับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หรือเร็วที่สุดที่ทำได้ ไม่ให้เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงที่มีให้น้อยลง

โดยสามารถรับประทานแบบหมดแผงในครั้งเดียวได้เลย ไม่ว่ายาคุมฉุกเฉินที่ใช้จะมีแผงละ 2 เม็ดหรือ 1 เม็ดก็ตามนะคะ

3. งดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน และรอดูว่าจะมีประจำเดือนมาหรือไม่ (ถ้ามีการใช้ยาคุมฉุกเฉินตามที่แนะนำในข้อ 2 ไม่ต้องสนใจว่าจะมีเลือดกะปริบกะปรอยภายใน 7 วันหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินหรือเปล่า เพราะเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยา ไม่ได้สำคัญอะไร)

ถ้ารอนานแล้วไม่มีประจำเดือนมา ให้ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

4. แต่ถ้ามีประจำเดือนมา (ซึ่งประจำเดือนปกติควรจะมีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน และมาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วัน) ก็ถือว่าไม่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ค่ะ

หากผู้ถามต้องการคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมนต่อ แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อพิจารณาวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง, ปลอดภัย และเหมาะสมกับผู้ถาม เช่น ไม่ต้องบริหารยาบ่อย ๆ มาใช้แทนการรับประทานยาคุมรายเดือนนะคะ

เพราะหากจะใช้ยาคุมรายเดือนต่อไป ถ้ายังมีปัญหาลืมรับประทานหรือใช้อย่างไม่เหมาะสมเช่นนี้อยู่เรื่อย ๆ ก็ทำให้เสี่ยงที่จะคุมกำเนิดล้มเหลวและตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้มากกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ

แนะนำให้พิจารณาจากปริมาณของเลือดที่ออกมาค่ะ ว่ามีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัยหรือไม่

ซึ่งถ้าเลือดที่ออกมาในวันที่ 11 - 17 ตุลาคม และ 20 - 26 ตุลาคม (ประมาณการจากข้อมูลที่ว่ารับประทานแผงที่สองได้ 4 วัน แล้วลืม 2 วัน จากนั้นเมื่อจะรับประทานยาคุมต่อก็มีเลือดออกมาก่อน ผู้ถามจึงหยุดใช้แผงที่สองไปเลย) มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัยทั้งสองรอบ ก็ถือว่าผิดปกติมากนะคะ จึงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริงของการมีเลือดออกผิดปกติดังกล่าว และหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมค่ะ

แต่ถ้าเลือดที่ออกมาในรอบที่สอง (20 - 26 ตุลาคมโดยประมาณ) เป็นเพียงเลือดกะปริบกะปรอย และไม่ได้มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตกขาวผิดปกติ, มีกลิ่นเหม็นคาวหรือกลิ่นรุนแรง, แสบหรือคันช่องคลอด หรือปวดท้องรุนแรง ก็น่าจะเป็นเพียงผลข้างเคียงจากยาคุมตามที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเองค่ะ

แต่ถ้ามีอาการผิดปกติร่วมด้วย แม้ว่าในตอนนี้อาจไม่มีอาการแล้ว แต่แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมเช่นกันนะคะ