July 27, 2018 22:14
ตอบโดย
พิศุทธิกาญจญ์ รังคกูลนุวัฒน์ (พญ.)
สวัสดีค่ะ อาการปวดท้อง จำเป็นต้องได้รับประวัติเพิ่มเติมค่ะ เช่น ปวดที่ไหน ข้างไหน ปวดอย่างไร ปวดตอนไหน ปวดมานานเท่าไหร่ มีอาการร่วมไรบ้างค่ะ
ตัวอย่าง เช่น
1.การติดเชื้อในลำไส้ หรือท้องเสียถ่ายเหลว อาหารเป็นพิษ ซึ่งพบได้บ่อยที่สุด ถ้าติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ไม่รุนแรงมาก ก็สามารถหายเองได้ค่ะ
2.ไส้ติ่งอักเสบ อาการที่ควรมี เช่น ปวดท้องด้านขวาล่าง มีไข้ อาจมีถ่ายเหลว อาเจียนได้ค่ะ
3.กรวยไตอักเสบ /กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาจมีอาหารร่วมเช่น เป็นไข้สูง ปวดหลัง บางคนมีปัสสาวะแสบขัดได้ค่ะ
4.สาเหตุจากกล้ามเนื้อ คนไข้อาจมีประวัติยกของหนัก ออกกำลังกาย โดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณท้องมาก การปวด อาจสัมพันธ์กับการขยับตัว สวัสดีค่ะ ถ้าอาการปวดเป็นหลังจากการออกกำลังกาย โดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณท้องมาก การเกร็งหน้าท้องเป็นเวลานาน หรือการบิดอยู่ท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานานค่ะ มีจุดกดเจ็บชัดเจน โดยมากหายได้เองค่ะ ถ้าไม่หาย สามารถทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือ ไดโคฟิแนคได้ (โปรดปรึกษาแพืย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยานะคะ)
5.สำหรับผู้หญิง อาจเป็นความผิดปกติของระบบสืบพันธฺสตรีได้ เช่น เนื้องอกของมดลูก รังไข่ เป็นต้นค่ะ หรือการติดเชื้อในบริเวณดังกล่าว เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือ ถ้าคนไข้มีความเสี่ยงที่จะตั้งครภ์ แล้วมีอาการปวดท้องด้านใดด้านหนึ่งมากๆ บวกกับประจำเดือนขาด ผลตรวจครรภ์เป็นบวก อาจเกิดจากการท้องนอกมดลูกได้ค่ะ
**สำหรับอาการดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยอย่างพอสังเขป การให้การรักษาต้องได้รับการตรวจร่างกายเพิ่มเติมโดยแพทย์ ดังนั้น แนะนำให้ไปตรวจร่างกายที่ รพ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องหากอาการไม่ดีขึ้นค่ะ**
**จากอาการปวดท้องอย่างเดียว จะบอกการวินิจฉัยค่อนข้างยากค่ะ ต้องอาศัยการตรวจร่างกายอย่างอื่นร่วมด้วยเสทอ เนื่องจากปงดท้องมีหลากหลายการวินิจฉัย
*จะอันตรายหรือไม่ ขึ้นกับสาเหตุค่ะ สิ่งที่จะทำให้ฉุกเฉิน ต้องรีบไป รพ ได้แก่ ปวดท้องมากขึ้นอย่างเฉียบพลัน มีอาการถ่ายเป็นเลือดปริมาณมาก มีไข้สุง เป็นต้นค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ตอบโดย
นิชดา พงษ์ธัญญกรณ์ (แพทย์ทั่วไป) (พญ.)
สวัสดีค่ะ อาการมีลมในท้องคืออาการท้องอืดหรือแก๊สในท้องเยอะ (Flatulence) มีได้หลายสาเหตุค่ะ อาจจะกินอาหารในปริมาณที่มากจนเกินความต้องการ กระเพาะจึงมีการย่อยและหลั่งกรดมาก อาจจะกินหรือดื่มอาหารประเภทที่มีแก๊ส เช่นน้ำอัดลม โซดา หรือกินอาหารที่ย่อยยาก ทำให้อาหารค้างในกระเพาะนาน เช่นเนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันสูง หรือบางรายเกิดจากความเครียด นอนไม่พอ ทำให้กรดในกระเพาะหลั่งมากขึ้น
นอกจากนี้ยังเกิดจากโรคทางกระเพาะอาหารได้อีกด้วย คือ โรคกรดไหลย้อน (GERD) นอกจากมีท้องอืด ท้องเฟ้อ ผายลมบ่อย และก็จะมีอาการปวดแสบปวดร้อนกลางหน้าอก มีเรอเปรี้ยว โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis) เกิดได้จากพฤติกรรมเสี่ยงเช่น ทานอาหารไม่ตรงเวลา กินชา กาแฟ แอลกอฮอล์ กินอาหารรสจัด โดยเฉพาะเผ็ดและเปรี้ยว หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อของ H.Pylori หรือจากการกินยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เช่นยาจำพวก NSAID มักมีปวดจุกท้องเวลาหิวจัดๆ หรือหลังกินอาหาร อาจพบอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนได้ โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome) โรคนี้เกิดได้ในคนปกติ ไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพียงแต่ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดการขับถ่ายที่ผิดปกติ
สำหรับอาการท้องอืดหรือแก๊สในท้องเยอะ (Flatulence) รักษาได้โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ท้องอืดได้แก่ ไม่ทานอาหารมากเกินความต้องการ งดอาหารประเภทที่มีแก๊ส เช่นน้ำอัดลม โซดา หรืออาหารที่ย่อยยาก ทำให้อาหารค้างในกระเพาะนาน เช่นเนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด หลีกเลี่ยงความเครียด นอนให้เพียงพอ และถ้าอาการขณะนั้นเป็นมากให้ซื้อยาลดกรดกินตามร้านขายยาตามคำแนะนำของเภสัชค่ะ แต่ถ้ามีท้องอืดมากผิดปกติ ร่วมกับไม่ถ่าย ไม่ผายลม มีคลื่นไส้อาเจียน ให้รีบไปพบแพทย์ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต คำตอบของแพทย์เป็นการให้ความรู้และคำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรค หรือการรักษา คุณควรพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ตรวจทุกครั้ง หากคุณมีเหตุฉุกเฉินกรุณาโทรแจ้ง 1669
มีอาการชอบปวดท้องน้อย แน่นท้อวเหมือนมีลมในท้อง ค่ะ
ตอบโดยแพทย์ที่มีใบอนุญาต (คำตอบนี้เป็นการให้คำแนะนำเบื้องต้น ไม่สามารถแทนการวินิจฉัยโรคหรือการรักษา คุณควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจหากมีอาการน่ากังวล)