ไตวาย เป็นภาวะที่ไตทำงานลดลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แบ่งเป็นไตวายที่มีการทำงานลดลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่า ไตวายเฉียบพลัน กับไตวายที่มีการทำงานลดลงอย่างช้าๆ และเป็นการเสื่อมอย่างถาวร เรียกว่า ไตวายเรื้อรัง ไตวายทั้งสองแบบมีสาเหตุ การดำเนินของโรค การรักษา และหลักปฏิบัติตนที่ต่างกัน ดังนี้
1. ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure)
เป็นภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้น ส่งผลให้ไตเสียหน้าที่ เกิดภาวะการคั่งของน้ำ ของเสีย และเสียสมดุลในการควบคุมกรดด่างของร่างกาย หากผู้ป่วยมีภาวะไตวายเฉียบพลันแล้วถูกปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หรือมีแนวโน้มจะกลายเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้อย่างรวดเร็ว ส่วนในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มีโอกาสที่จะกลับมาทำงานได้ปกติได้ หรือใกล้เคียงปกติ
ตรวจไต ฟอกไต รักษาโรคไต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 50 บาท ลดสูงสุด 83%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
- สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน มี 4 สาเหตุ ได้แก่ มีความผิดปกติในการไหลเวียนเลือดมาเลี้ยงไต ได้รับยา หรือ สารพิษที่ทำลายไต มีภาวะไตอักเสบ และมีการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ มีรายละเอียด ดังนี้ปริมาณเลือดมาเลี้ยงที่ไตลดลงจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม เช่น เสียเลือดมากจนช๊อก ขาดน้ำจากท้องเสียอย่างรุนแรง ติดเชื้อในกระแสเลือดจนช๊อก เป็นต้น
- ได้รับยาหรือสารพิษต่อไต เช่น ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Nonsteroidal anti-inflammatory drug (NSAIDS)) ยาชุด ยาสมุนไพร เป็นต้น
- โรคไตอักเสบ
- การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
ผู้ป่วยไตวายเฉียบพลันมักมีอาการแสดงของภาวะน้ำเกิน หรือของเสียคั่ง ภายในเวลารวดเร็ว แพทย์วินิจฉัยไตวายเฉียบพลันได้จากอาการแสดง เช่น ปัสสาวะออกน้อย บวม และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบค่าครีเอตินิน (Creatinine) สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาวะไตวายเฉียบพลัน หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไตจะสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติได้ หรือใกล้เคียงปกติ การรักษาภาวะไตวายเรื้อรังโดยหลักการมี 2 วิธี ในผู้ป่วยบางรายอาจต้องรักษาหลายวิธีประกอบกัน ประกอบด้วยการรักษาดังต่อไปนี้
- การรักษาสาเหตุ เพื่อให้ไตสามารถกลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยเร็วและป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไตเสียหน้าที่ การรักษาสาเหตุ เช่น การสืบค้นสาเหตุที่ทำลายไตและจัดการกับสาเหตุนั้น เช่น ผู้ป่วยรับประทานยาสมุนไพรบางชนิดที่ส่งผลเสียต่อไต เมื่อหยุดยาสมุนไพรนั้น ไตก็อาจกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ หรือ ผู้ป่วยที่เสียเลือดจนเกิดภาวะช็อก เมื่อควบคุมการเสียเลือดได้สำเร็จและได้รับสารน้ำ หรือ เลือดทดแทนอย่างเพียงพอ ไตก็อาจกลับมาทำหน้าที่ได้ตามปกติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไตจะฟื้นฟูสภาพได้จนจะกลับมาทำงานได้ตามปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความเร็วในการรักษาสาเหตุนั้น
- การรักษาแบบประคับประคองและรักษาภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนจากไตวายเฉียบพลัน ที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะน้ำเกิน ภาวะของเสียคั่ง และการเสียสมดุลกรด-ด่าง ของร่างกาย ผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาโดยการจำกัดน้ำ ให้ยาขับปัสสาวะ ให้ยาลดความเป็นกรดของร่างกาย และผู้ป่วยบางรายอาจต้องเข้ารับการบำบัดทดแทนไตเพื่อลดปริมาณของเสียคั่งในร่างกาย
2. ไตวายเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
ภาวะไตวายเรื้อรัง หมายถึง หมายถึง โรคที่ไตไม่สามารถขับของเสียและน้ำออกจากร่างกายด้วยการปัสสาวะได้ ส่งผลให้ของเสียและน้ำค้างอยู่ในเลือด แพทย์วินิจฉัยการเป็นไตวายเรื้อรังได้จาก 2 แนวทาง ได้แก่
- แนวทางที่ 1 วินิจฉัยจากประสิทธิภาพการกรองของของไต โดยประเมินจากการตรวจพบอัลบูมิน (Albumin) หรือ เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ ร่วมกับผลการตรวจพบลักษณะความผิดปกติเชิงโครงสร้างของไต โดยอาจมีความผิดปกติในอัตราการกรองของไต (estimated glomerular filtration rate (eGFR)) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
- แนวทางที่ 2 วินิจฉัยจากการคำนวณอัตราการกรองของไต หรือ เรียกชื่อย่อว่า ค่าอีจีเอฟอาร์ (eGFR) หรือ จีเอฟอาร์ (GFR) หากอัตราการกรองของไตต่ำกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที/ 1.73 ตารางเมตร เป็นเวลา 3 เดือนขึ้นไป โดยอาจมีความผิดปกติในโครงสร้างของไตร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
ไตวายเรื้อรัง มีสาเหตุได้จากการเสื่อมของไตตามธรรมชาติ หรือการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้ป่วยบางรายอาจเคยเป็นไตวายเฉียบพลันมาก่อน ระดับความรุนแรงของไตวายเรื้อรัง มี 5 ระยะ ดังนี้
- ไตวายเรื้อรังระยะที่ 1 พบว่า อัตราการกรองของไตลดลง เท่ากับ 90 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร ในระยะนี้ผู้ป่วยมักมีอาการโปรตีนในปัสสาวะ เนื่องจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตมีความผิดปกติส่งผลให้อัลบูมิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ถูกกรองผ่านไตออกมาในปัสสาวะ
- ไตวายเรื้อรังระยะที่ 2 พบว่า อัตราการกรองของไตลดลง อยู่ในช่วง 60-89 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร อาจพบว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงขึ้น เนื่องจากหน้าที่ในการควบคุมความดันโลหิตของไตเสียไป
- ไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 พบว่า อัตราการกรองของไตลดลง อยู่ในช่วง 30-59 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการซีด เนื่องจากหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นไขกระดูกในการสร้างเม็ดเลือดแดง เสียไป ไตวายเรื้อรังระยะที่ 3 ยังแบ่งย่อยออกได้เป็นไตวายเรื้อรังระยะที่ 3a มีค่าอัตราการกรองของไตลดลง อยู่ในช่วง 45-59 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร และไตวายเรื้อรังระยะที่ 3b มีค่าอัตราการกรองของไตลดลง อยู่ในช่วง 30-44 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร
- ไตวายเรื้อรังระยะที่ 4 พบว่า อัตราการกรองของไตลดลง อยู่ในช่วง 15-29 มิลลิลิตร/นาที/1.73 ตารางเมตร ผู้ป่วยจะมีอาการซีดมากขึ้น เริ่มมีภาวะเลือดเป็นกรดจากมีปริมาณของเสียสะสมในเลือดในปริมาณสูง ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายอาจพบโปแทสเซียม (Potassium) ในเลือดสูงได้ บางรายอาจพบภาวะน้ำเกิน เนื่องจากการสูญเสียหน้าที่ในการขับน้ำออกจากร่างกาย ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมตัวเพื่อรับการบำบัดทดแทนไต ได้แก่ การเปลี่ยนไต การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม หรือ การฟอกไตผ่านทางเยื่อบุช่องท้อง
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะที่ 1-4 จะได้รับคำแนะนำเพื่อเข้ารับการรักษาเพื่อควบคุมปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดไตวายเรื้อรัง เช่น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิตสูง หรือควบคุมการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อชะลอไตเสื่อม เช่น การควบคุมการบริโภคอาหารโปรตีน เกลือ ปริมาณน้ำดื่มต่อวัน เป็นต้น เมื่อโรคลุกลามเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะที่ 5 ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต
จากสาเหตุของการเกิดภาวะไตวายทั้งสองแบบ เห็นได้ว่าบุคคลทุกวัยมีความเสี่ยงสูงจะเกิดภาวะไตวายได้ แต่สำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ซึ่งการทำงานของไตลดลงตามวัย โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 75 ปีหรือผู้ป่วยวิกฤติที่มีปัญหาสุขภาพที่กระทบอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะระบบหัวใจและหลอดเลือด หากบุคคลทั้งสองกลุ่มนี้ เกิดภาวะไตวายจะเพิ่ม โอกาสให้การทำงานของไตลดลงอย่างรวดเร็ว อาจกลายเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเร็วขึ้นและต้องรับการรักษาด้วยการบำบัดทดแทนไต และมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยอื่น