Epilepsy (โรคลมชัก) เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย เกิดจากระบบไฟฟ้าของสมองไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ จึงทำให้เกิดอาการชักขึ้น บางครั้งอาจมีอาการกระตุก สับสน และสูญเสียความรู้สึกตัวร่วมด้วย
อาการของโรคลมชัก
โรคลมชักมีหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีอาการชักแตกต่างกัน ดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- อาการชักแบบเหม่อลอย (Absence seizures) พบได้ทั่วไปในเด็ก อาการที่พบคือ การเพ่ง กะพริบตา และการตบปาก
- อาการชักแบบชักเกร็ง (Tonic seizures) มีอาการกล้ามเนื้อแข็งตัว โดยเฉพาะบริเวณหลัง แขน และขา ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยหกล้มได้
- อาการชักตัวอ่อน (Drop seizures) เป็นอาการชักที่สามารถทำให้ผู้ป่วยล้มฟุบลงได้ทันที
- อาการชักกระตุก (Clonic Seizures) มีอาการกระตุก มักพบได้ที่บริเวณคอ หน้า และแขน
- อาการชักสะดุ้ง (Myoclonic Seizures) ส่งผลกระทบต่อแขนและขา ซึ่งจะมีอาการกระตุกเป็นพักๆ
- อาการชักแบบชักกระตุกและเกร็ง (Tonic-clonic seizures) มีอาการแข็งตัวของกล้ามเนื้อ และไม่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะได้ หากมีความรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติ
- อาการชักเฉพาะส่วน (Partial seizures) เป็นอาการชักเฉพาะที่ มักเกิดจากการมีไข้สูง การมีน้ำตาลในเลือดต่ำ การขาดแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติด แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ อาการชักแบบรู้ตัว (Simple focal seizures) และอาการชักแบบไม่รู้ตัว (Complex partial seizures)
ปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดอาการชัก
อาการชักของผู้ป่วยโรคนี้มีปัจจัยกระตุ้นได้จากสาเหตุต่อไปนี้
- อาการไข้ขึ้น
- พักผ่อนไม่พอ
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- เสียงดัง
- ความเครียด
- การมีรอบเดือน
- อุบัติเหตุที่ทำให้สมองได้รับบาดเจ็บ
ประเภทของโรคลมชัก
ประเภทของโรคลมชักจำแนกตามลักษณะอาการชัก และความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมอง รวมถึงสาเหตุของโรค จะจำแนกได้ 3 ประเภท คือ
- โรคลมชักแบบ Localization related (focal) epilepsy เป็นโรคลมชักที่ผู้ป่วยจะมีอาการชักแบบยังมีสติ สามารถตอบสนองได้ระหว่างชัก เป็นอาการชักที่เกิดจากคลื่นไฟฟ้าสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะที่
- โรคลมชักแบบ Generalized epilepsy เป็นโรคลมชักที่ผู้ป่วยจะมีอาการชักแบบชักกระตุกทั้งตัว และอาจหมดสติได้ อีกทั้งมีการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าในสมองส่วนคอร์ติคอล (cortical area) ทั้ง 2 ซีก
- โรคลมชักแบบ Undetermined epilepsy เป็นโรคลมชักที่ยังไม่สามารถจำแนกได้ว่า เป็นโรคลมชักแบบที่ 1 หรือแบบที่ 2
สาเหตุของโรคลมชัก
- โรคเส้นเลือดในสมองแตก
- เนื้องอกในสมอง
- การติดเชื้อในสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- สมองบาดเจ็บ
- ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง
- โรคดาวน์ซินโดรม และโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ
- โรคอัลไซเมอร์ และโรคทางระบบประสาทอื่นๆ
ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมชัก
- อายุ เพราะเด็กเล็ก และผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคลมชัก
- การได้รับบาดเจ็บทางศีรษะ
- ภาวะสมองเสื่อม
เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์
หากมีอาการ หรือพบผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
- มีอาการชักที่มีระยะเวลานานเกิน 5 นาที
- มีอาการชักใหม่เริ่มต้น หลังจากการชักครั้งแรกเสร็จสิ้นลง
- มีอาการชักจากการมีไข้สูง
- มีอาการชักจากอาการเพลียแดด
- มีอาการชักขณะตั้งครรภ์
- มีอาการชัก และเป็นโรคเบาหวาน
- มีอาการชัก และได้รับบาดเจ็บระหว่างการชัก
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในโรคลมชัก
ผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก โดยเฉพาะที่เป็นโรคลมชักต่อเนื่องอาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้ดังต่อไปนี้
- ภาวะเป็นกรดในเลือด
- ภาวะสมองบวม
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
- ภาวะไตวาย
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ภาวะตัวร้อนเกิน
- ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย
วิธีวินิจฉัยโรคลมชัก
ในเบื้องต้น แพทย์จะซักประวัติ และตรวจร่างกายผู้ป่วยอย่างละเอียด รวมถึงอาการของโรค เช่น ลักษณะอาการชัก ระดับความรู้สึกตัวขณะชัก ความผิดปกติด้านการออกเสียง การเคลื่อนไหวของศีรษะ ตา หรือคอ โรคเกี่ยวกับสมองที่ผู้ป่วยอาจเคยเป็น จากนั้นจะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น
- การวิเคราะห์เลือด
- การวิเคราะห์น้ำไขสันหลัง เมื่อสงสัยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อที่สมอง หรือสมองอักเสบ มีภาวะเลือดออกในช่องเยื่อหุ้มสมอง
- การทำ PET Scan (Positron Emission Tomography: PET)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography: EEG)
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Tomography Scan: CT Scan)
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อหารอยโรคขนาดเล็กที่ CT Scan อาจหาไม่เจอ รวมถึงเพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง
การรักษาโรคลมชัก
มีหลายวิธีที่สามารถรักษาโรคลมชักได้ ได้แก่
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
1. การใช้ยา
แพทย์อาจจ่ายยาเหล่านี้เพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือจ่ายหลายชนิดพร้อมกันก็ได้
- Ativan (Lorazepam)
- Depakote (Divalproex sodium)
- Dilantin (Phenytoin)
- Klonopin (Clonazepam)
- Lamictal (Lamotrigine)
- Lyrica (Pregabalin)
- Neurontin (Gabapentin)
- Tegretol (Carbamazepine)
- Valium (Diazepam)
ยาสำหรับรักษาโรคลมชักมักเป็นยากันชักที่จะทำให้อาการชักของผู้ป่วยบรรเทาลง อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการรักษาโรคนี้ แพทย์อาจมีปรับยาเพื่อให้เข้ากับอาการ หรือสภาพร่างกายผู้ป่วย รวมถึงให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เช่น
- ปรับขนาดยาเพิ่ม หากขนาดยาไม่เพียงพอกับอาการผู้ป่วย
- กำชับให้ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่ผู้ชอบละเลยไม่รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งทุกครั้ง
- ให้ผู้ป่วยรักษาโรคอื่นๆ ที่ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ เช่น มีก้อนเนื้องอก
- ให้ผู้ป่วยพักผ่อนไม่เพียงพอ หลีกเลี่ยงการมีภาวะเครียด
อีกทั้งการใช้ยากันชักยังอาจส่งผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงซึม เวียนศีรษะ เห็นภาพซ้อน ง่วงนอน คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักขึ้น ผมร่วงได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น ซึม เครียด ผู้ป่วยเด็กอาจมีอาการซุกซน ก้าวร้าวขึ้น
2. การผ่าตัด
แพทย์อาจผ่าตัดนำส่วนของสมองที่ทำให้เกิดโรคลมชักออก เพื่อหยุดอาการชัก หรืออาจผ่าตัดแยกสมองเพื่อช่วยควบคุมอาการชัก
3. การกระตุ้นเส้นประสาท
แพทย์จะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าสอดไว้ใต้ผิวหน้าอกเพื่อส่งสัญญาณไปที่ประสาทคอ เพื่อลดการสร้างกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการชัก ช่วยลดความถี่ และความรุนแรงของอาการชักได้
โรคลมชักเป็นโรคทางระบบประสาทที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย และส่งผลร้ายแรงทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ผู้ป่วยโรคลมชักจึงต้องหมั่นสังเกตอาการตนเอง รวมถึงดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในระหว่างเป็นโรคลมชัก เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคเกิดขึ้นบ่อย
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจสุขภาพ จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
ลูกเคยไปโรงพยาบาลเพราะชักจากไข้ อยากจะถามคุณหมอว่า การชักการไข้มีผลต่อสมองลูกเมื่อเติบโตไหมคะ การเรียนจะเป็นเช่นไร