อาการเสียงดังในหูเป็นความผิดปกติที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่เป็นอันตรายก็ได้ ส่วนมากมักก่อให้เกิดความน่ารำคาญจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน บางรายไม่สามารถอยู่ในที่แคบ หรือที่เงียบสงัดได้ เนื่องจากเสียงในหูจะยิ่งดังมากขึ้น
ลักษณะของเสียงดังในหูคือ ผู้ป่วยจะมีเสียงดังในหูซ่าๆ ปรี๊ดๆ วิ้งๆ หรือหูอื้ออยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นแล้วมักจะสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก
ตรวจ รักษา หู คอ จมูก วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 854 บาท ลดสูงสุด 54%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
สาเหตุของอาการมีเสียงดังในหู
การมีเสียงดังในหู หมายถึง ผู้ป่วยมีอาการรับรู้ในเสียงลดลง ได้ยินเสียงไม่ชัดเจน รู้สึกคล้ายกับมีแมลงอยู่ในหู หรือเหมือนมีวัสดุบางอย่างอุดหูอยู่ตลอดเวลา บางรายพบว่า มีเสียงเต้นตามจังหวะการเต้นของชีพจร ซึ่งอาจเป็นอันตรายหรือไม่เป็นอันตรายก็ได้ขึ้นอยู่กับสาเหตุนั้นๆ ซึ่งสามารถแบ่งสาเหตุการได้ยินเสียงออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. ผู้ป่วยได้ยินเสียงในหูเพียงคนเดียว (Subjective tinnitus)
เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการรับรู้ภายในหูของผู้ป่วยคนเดียวเท่านั้น โดยเกิดจากความผิดปกติดังนี้
- หูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน แก้วหูทะลุ หรือหูอักเสบ
- หูชั้นกลาง เช่น มีน้ำขังอยู่ในหู ท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube) ทำงานผิดปกติ หรือเป็นโรคหินปูนในหูหลุด
- หูชั้นใน
- เกิดจากประสาทหูเสื่อม สาเหตุจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ได้ยินเสียงดังมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น เช่น เสียงประทัด หรือเสียงระเบิด หรืออยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นระยะเวลานานๆ เช่น ในโรงงาน จนทำให้การได้ยินเสียงค่อยๆ ลดลง
- หูมีการติดเชื้อเพราะเป็นโรค
- เกิดการกระทบกระเทือน
- มีรูรั่วระหว่างหูชั้นกลาง และหูชั้นใน
- สมองผิดปกติจากอาการเส้นเลือดสมองตีบ ไขมันในเลือดสูง เป็นเนื้องอกในหู หรือสมอง
- โรคอื่นๆ เช่น โรคภูมิแพ้ตัวเอง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดัน หรือโรคโลหิตจาง เป็นต้น
2. คนอื่นสามารถได้ยินเสียงในหูด้วย (Objective tinnitus)
เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจริง และเสียงนั้นก็มาจากภายในหูของผู้ป่วย ซึ่งคนรอบข้างก็ได้ยินด้วย โดยเกิดจากความผิดปกติดังนี้
- หลอดเลือดแดงผิดปกติ
- เสียงดังที่เกิดพร้อมกับเสียงเต้นของหัวใจ หรือเสียงหายใจ
- เส้นเลือดวางอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ หรือมีภาวะเส้นเลือดโป่ง
การรักษาอาการเสียงดังในหู
การรักษาอาการเสียงดังในหูจำเป็นต้องหาสาเหตุของการเกิดเสียงให้ได้ก่อน จึงค่อยรักษาไปตามสาเหตุนั้นๆ โดยวิธีรักษาจะมีทั้งการใช้ยา และการผ่าตัด แต่เสียงในหูที่เกิดจากประสาทหูเสื่อมมักจะรักษาไม่หาย และเป็นโรคประจำตัวไปตลอดชีวิต
การป้องกันอาการเสียงดังในหู
- กรณีที่รักษาไม่หายจนต้องเป็นไปตลอดชีวิตก็ทำได้แค่เพียงปรับตัวให้เข้ากับโรค หากเสียงในหูดังจนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน อาจจะต้องใช้การเปิดเพลงเบาๆ หรือเปิดเสียงสีขาว (White noise) เพื่อช่วยกลบเสียง หรือรับประทานยานอนหลับ ยาลดความรำคาญ และยาลดความไวของการได้ยินเพื่อบรรเทาอาการ
- ควรหลีกเลี่ยงเสียงดังๆ เพื่อไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น รวมทั้งควบคุมและรักษาโรคประจำตัวให้ดี เพื่อไม่ให้มีส่วนเร่งการได้ยินเสียงในหูดังเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระทบกับหู หรือการใช้ยาบางประเภท เช่น แอสไพริน (Aspirin) กรดอะมิโน (Amino acid) ควินิน (Quinine) ไกลโคไซด์ (Glycoside) และงดเครื่องดื่มที่กระตุ้นระบบประสาทหู เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม และเหล้า รวมทั้งการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการบริโภคเกลือ หรือรสเค็ม เพราะจะทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้ไม่ดี ส่งผลให้ความดันสูงและเกิดเสียงในหูมากขึ้น
- พยายามไม่เครียด และหมั่นออกกำลังกาย รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ก็จะช่วยลดอาการติดเชื้อ และยังทำให้อาการของโรคประจำตัวดีขึ้นอีกด้วย
โรคเสียงดังในหูอาจมีอันตรายหรือไม่มีอันตรายก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการดังกล่าวก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว เพราะเสียงในหูบางชนิดก็สามารถรักษาได้ทันทีตั้งแต่ระยะที่พบแรกๆ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานก็อาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นโรคประจำตัวไปตลอดชีวิต