การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) กับโรคเบาหวาน

ตรวจโรคเบาหวาน ภาวะก่อนเป็นเบาหวาน ด้วยการตรวจระดับน้ำตาลสะสม (AIC)
เผยแพร่ครั้งแรก 19 ธ.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 12 พ.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 7 นาที
การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) กับโรคเบาหวาน

ระดับน้ำตาลสะสมเกี่ยวข้องอย่างไรกับโรคเบาหวาน

ระดับน้ำตาลสะสม คือระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือน สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน และติดตามการควบคุมโรคเบาหวานได้

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมคืออะไร

การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) หรือ ฮีโมโกลบิน เอวันซี (Hemoglobin A1C: HbA1C) คือการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด เฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือน เป็นวิธีการตรวจหลักในการดูแลรักษาโรคเบาหวาน และเครื่องมือในงานวิจัยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจเบาหวานวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 83%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

หลักการตรวจค่าระดับน้ำตาลสะสม

ค่าระดับน้ำตาลสะสม เป็นค่าที่บ่งบอกถึงน้ำตาลกลูโคสที่จับอยู่กับฮีโมโกลบิน 

ฮีโมโกลบิน คือโปรตีนที่อยู่ในเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย  โดยเซลล์เม็ดเลือดแดงจะมีการสร้างและการตายคงที่ ปกติจะมีอายุ 3 เดือน  ดังนั้น ค่าระดับน้ำตาลสะสม จึงสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณน้ำตาลกลูโคสเฉลี่ยในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา 

ระดับน้ำตาลสะสมสามารถใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

  • ในอดีตการตรวจระดับน้ำตาลสะสมไม่แนะนำให้ใช้สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน  เพราะวิธีในการตรวจระดับน้ำตาลสะสมมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะทำให้ผลการตรวจแตกต่างกัน และไม่สามารถนำผลการตรวจของแต่ละวิธีมาเปรียบเทียบกันได้ 
  • ปัจจุบันจึงมีการปรับปรุงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำโดยโปรแกรม National Glycohemoglobin Standardization Program (NGSP) ทำให้มีการพัฒนามาตรฐานของการตรวจระดับน้ำตาลสะสมขึ้น
  • ในปี 2009 กลุ่มคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ แนะนำการตรวจระดับน้ำตาลสะสมเป็นหนึ่งในการตรวจเพื่อช่วยวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน เพราะการตรวจระดับน้ำตาลสะสมไม่จำเป็นต้องอดอาหาร และสามารถเจาะเลือดไปตรวจที่เวลาใดก็ได้
    ผู้เชี่ยวชาญหวังว่า การตรวจนี้จะเพิ่มความสะดวก ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงการตรวจได้มากยิ่งขึ้น และช่วยลดจำนวนคนที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานลง 
  • องค์กรทางการแพทย์บางองค์กรยังคงแนะนำให้ใช้การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดแบบเดิมสำหรับการวินิจฉัย

ทำไมถึงต้องตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน  

การตรวจคัดกรองมีความสำคัญมาก เพราะในช่วงระยะแรกของการเป็นโรคเบาหวานจะไม่มีอาการใดๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการตรวจใดที่สมบูรณ์แบบ การตรวจระดับน้ำตาลสะสมควบคู่กับการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด คือการตรวจที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน จะช่วยให้แพทย์ และทีมบุคลากรทางการแพทย์ สามารถวางแผนในการรักษาโรคเบาหวานก่อนที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ตาบอด โรคหลอดเลือดขนาดเล็ก นอกจากนั้น ยังช่วยคัดกรองภาวะก่อนเป็นเบาหวาน เพื่อชะลอหรือป้องกันการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

ระดับน้ำตาลสะสมใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานและภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้อย่างไร

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมสามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้ โดยอาจใช้เฉพาะการตรวจนี้ หรือใช้ร่วมกับการตรวจอื่นๆ ก็ได้ 

หากต้องการใช้ค่าระดับน้ำตาลสะสมในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน เลือดที่ถูกเจาะแล้วจะถูกส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการทดสอบตาม NGSP เพื่อให้มั่นใจว่า ผลการตรวจนั้นมีมาตรฐาน และได้ค่าแม่นยำถูกต้อง 

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ตรวจเบาหวานวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 78 บาท ลดสูงสุด 83%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

ตารางแสดงค่าร้อยละของระดับน้ำตาลสะสมและการแปลผล

การแปลผลค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C)

  • ต่ำกว่า 5.7% ปกติ
  • ตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป เป็นโรคเบาหวาน
  • ตั้งแต่ 5.7-6.4 % เป็นภาวะก่อนเป็นเบาหวาน

*ในการทดสอบเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นต้องมีการทดสอบซ้ำครั้งที่ 2 ยกเว้นว่าผู้ตรวจมีอาการของโรคเบาหวานที่ชัดเจน

หากพบว่าเป็นภาวะก่อนเป็นเบาหวาน จะถือว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2  ต้องได้รับการตรวจซ้ำทุก 1 ปี  ยิ่งมีค่าระดับน้ำตาลสะสมสูงเท่าไร ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเท่านั้น โดยจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ภายใน 10 ปี ปัจจุบันมีวิธีในการป้องกันและชะลอการเกิดโรคเบาหวานแล้ว

ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวานได้

การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดมาตรฐานเพื่อใช้วินิจฉัยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะก่อนเป็นเบาหวาน ได้แก่ การตรวจค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) และการทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส (OGTT) สำหรับการตรวจค่าระดับน้ำตาลที่เวลาใดๆ อาจถูกใช้ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อมีอาการของโรคเบาหวานอย่างชัดเจน ในบางกรณีอาจมีการตรวจระดับน้ำตาลสะสม เพื่อยืนยันผลที่ได้จากการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด

ระดับน้ำตาลสะสมอาจให้ผลการวินิจฉัยต่างจากระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด

ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดอาจเป็นตัวชี้วัดในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแทนระดับน้ำตาลสะสม หรือระดับน้ำตาลสะสมอาจเป็นตัวชี้วัดในการวินิจฉัยแทนระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดก็ได้ เพราะในการตรวจอาจมีความแตกต่างของผลการตรวจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแพทย์จะพิจารณาตรวจซ้ำก่อนที่จะตัดสินใจวินิจฉัยโรค

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

คนที่มีผลการตรวจแตกต่างกันอาจเนื่องมาจากเพิ่งเป็นโรคในระยะเริ่มต้น จึงทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดยังไม่สูงพอที่จะแสดงผลให้ทราบในทุกวิธีการตรวจ บางครั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การคุมอาหาร การลดน้ำหนักและการเพิ่มการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้นกลับมาเป็นปกติ หรือชะลอการดำเนินของโรคได้

ผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดมีความแม่นยำทุกครั้งหรือไม่

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถแตกต่างกันในแต่ละวัน แต่ละวิธีการตรวจได้ ซึ่งผลการตรวจสามารถแตกต่างกันได้ ดังนี้

  • ความแตกต่างภายในคนคนเดียวกัน ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกาย อาการเจ็บป่วย และความเครียด
  • ความแตกต่างระหว่างวิธีการตรวจ วิธีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแต่ละวิธีมีหลักการในการตรวจที่แตกต่างกัน 
    • การตรวจระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) จะเป็นการตรวจวัดระดับกลูโคสที่ละลายอยู่ในเลือดหลังจากอดอาหารแล้ว และเป็นการแสดงค่าระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเฉพาะเวลาที่เจาะเลือดเท่านั้น 
    • การตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดซ้ำ เช่น การตรวจด้วยตนเองที่บ้านด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองวันละหลายครั้ง สามารถแสดงให้เห็นความแตกต่างของระดับน้ำตาลในเลือดที่เกิดขึ้นระหว่างวันของตัวคุณเอง  
    • การตรวจค่าระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) จะเป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสที่จับกับฮีโมโกลบิน ค่าจะที่ได้จะเป็นการวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา  ดังนั้นหากมีการตรวจในวันถัดไป หรือวันใกล้ๆ กัน ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
  • ความแตกต่างที่เกิดขึ้นภายในการตรวจเดียวกัน  เลือดที่ถูกเจาะครั้งเดียวกัน และนำเลือดนั้นไปตรวจซ้ำที่ห้องปฏิบัติการเดียวกัน ก็อาจมีผลการตรวจแตกต่างกันได้ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพียงเล็กน้อย เครื่องมือที่ใช้ตรวจ หรือวิธีการจัดการเกี่ยวกับเลือดที่นำมาตรวจ
  • แพทย์ทราบดีอยู่แล้วว่า ในการตรวจเลือดจะมีความแตกต่างของผลการตรวจเกิดขึ้นได้  ดังนั้น หากแพทย์มีความสงสัยในผลการตรวจ จะสั่งตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผล โรคเบาหวานมีการดำเนินไปของโรคตลอดเวลา ดังนั้น แม้ผลการตรวจเลือดจะมีความแตกต่างกัน แต่แพทย์สามารถแจ้งให้คุณทราบ เมื่อผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยรวมของคุณสูงกว่าเกณฑ์ปกติ
  • การเปรียบเทียบผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนสถานพยาบาลที่ทำการรักษา หรือสถานพยาบาลมีการเปลี่ยนเครื่องมือ หรือเทคนิคที่ใช้ในการตรวจ กรณีนี้จะต้องมีการตรวจเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลเสมอ

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมมีความแม่นยำหรือไม่

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสม สามารถแตกต่างจากความเป็นจริงอยู่ 0.5%  โดยอาจสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงก็ได้ หากผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมของคุณอยู่ที่ 7.0% นั่นหมายถึงระดับน้ำตาลสะสมในเลือดจริงๆ จะอยู่ในช่วงประมาณ 6.5-7.5%

หากใช้หลักการเดียวกันนี้กับค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร (FPG) พบว่า ค่าระดับน้ำตาลสามารถแตกต่างจากความเป็นจริงได้เช่นกัน 

หากผลการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอยู่ที่ 126 mg/dL ค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหารจริงๆ ในร่างกายจะอยู่ในช่วงประมาณ 110-142 mg/dL โดยความแตกต่างของผลการตรวจนี้อาจมีมากขึ้นหากเลือดที่เจาะแล้วไม่ได้รับการตรวจทันที หรือไม่ได้ถูกใส่ไว้ในน้ำแข็ง ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดตัวอย่างที่เจาะออกมานั้นลดต่ำลงได้

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมสามารถแสดงผลลวง (แสดงผลไม่ถูกต้อง) ได้หรือไม่

ผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสมลวง (แสดงผลไม่ถูกต้อง) อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่มีปัญหาส่งผลต่อเลือด หรือมีฮีโมโกลบินแตกต่างจากคนทั่วไป ส่งผลให้ผลการตรวจถูกรบกวนได้ ดังนี้

  • โลหิตจาง
  • มีเลือดออกจากร่างกายในปริมาณมาก
  • มีปริมาณธาตุเหล็กในร่างกายต่ำกว่าปกติมากๆ
  • เป็นไตวาย 
  • เป็นโรคตับ
  • กลุ่มคนเชื้อสายแอฟริกัน เมดิเตอร์เรเนียน หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • คนในครอบครัวเป็นโรคโลหิตจางชนิดซิกเกิลเซลล์ หรือธาลัสซีเมีย

ค่าระดับน้ำตาลสะสมใช้ในกรณีใดได้อีกนอกจากการวินิจฉัยโรคเบาหวาน

แพทย์สามารถใช้ค่าระดับน้ำตาลสะสมในการติดตามระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2  แต่จะไม่ใช้ในการติดตามผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

สมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในช่วงเป้าหมายได้แล้ว และมีระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ เข้ารับการตรวจระดับน้ำตาลสะสมปีละ 2 ครั้ง แต่หากยังควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ แพทย์อาจสั่งตรวจระดับน้ำตาลสะสมเป็น 4 ครั้งต่อปี จนกว่าระดับน้ำตาลในเลือดจะอยู่ในช่วงเป้าหมายที่กำหนด

การตรวจระดับน้ำตาลสะสมจะช่วยให้แพทย์ปรับยาที่ใช้ในการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ข้อมูลการจากการศึกษาวิจัยพบว่า การเกิดโรคแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานจะลดลงตามปริมาณระดับน้ำตาลสะสมที่ลดลง

ระดับน้ำตาลสะสมสัมพันธ์กับการประมาณค่าเฉลี่ยกลูโคสอย่างไร

ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (Estimated average glucose: eAG) จะคำนวณจากค่าระดับน้ำตาลสะสมที่ตรวจได้ บางห้องปฏิบัติการจะรายงานค่า eAG ไปพร้อมกับผลการตรวจระดับน้ำตาลสะสม ค่า eAG จะเป็นการคำนวณเปลี่ยนจากค่าระดับน้ำตาลสะสมในหน่วย % เป็นหน่วยเดียวกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสที่บ้าน คือหน่วย มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

ข้อมูลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าระดับน้ำตาลสะสม และค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG)

  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 6% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 126 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 7% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 154 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 8% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 183 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 9% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 212 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 10% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 240 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 11% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 269 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลสะสม (A1C) 12% สัมพันธ์กับ ค่าเฉลี่ยกลูโคสโดยประมาณ (eAG) 298 หน่วยมิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

เป้าหมายค่าระดับน้ำตาลสะสมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีค่าเป้าหมายของระดับน้ำตาลสะสมแตกต่างกัน ขึ้นกับประวัติการเป็นโรคเบาหวานและสุขภาพของแต่ละบุคคล แพทย์จะเป็นผู้แจ้งค่าระดับเป้าหมายที่เหมาะสมกับคุณ 

การควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด จะมีประโยชน์อย่างมากโดยเฉพาะในคนที่เพิ่งเป็นโรคเบาหวาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้น 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายระดับน้ำตาลสะสมจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ระดับค่าที่เหมาะสมของคนหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมกับอีกคนได้ เช่น การควบคุมระดับน้ำตาลสะสมให้ต่ำกว่า 7% อาจไม่ปลอดภัยในคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง และปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด


2 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
James J. Chamberlain et al., Diabetes Technology: Review of the 2019 American Diabetes Association Standards of Medical Care in Diabetes (https://annals.org/aim/fullarticle/2748278/diabetes-technology-review-2019-american-diabetes-association-standards-medical-care), 17 September 2019

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)