“Never Be Sick Again” เป็นหนังสือที่เขียนโดย Dr. Raymond Francis ซึ่งผู้เขียนกล่าวอ้างในหนังสือว่า ตลอดระยะเวลา 26 ปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยป่วยอีกเลย แม้กระทั่งไข้หวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่มี ปัจจุบัน เขามีอายุ 75 ปี สาเหตุที่ทำให้เขาไม่ป่วยอีกเลย เนื่องมาจากปัจจัยง่าย ๆ คือ เขาเปลี่ยนวิธีการกิน เขาไม่ลืมหาเวลาออกกำลังกายแม้ว่าอายุจะมากแล้วก็ตาม
ลดบริโภคน้ำตาลสำคัญไหม?
"หลีกเลี่ยงน้ำตาล” คำเตือนสั้น ๆ ที่ปฏิบัติตามได้ยากเสียเหลือเกินสำหรับใครหลาย ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสาว ๆ ที่เสพติดการกินของหวานหรือขนมนมเนยทั้งหลายหลังการรับประทานอาหารมื้อหลัก
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ยิ่งทุกวันนี้ ร้านของหวานทั้งเก่าและใหม่ต่างก็ตั้งอยู่เรียงรายเต็มท้องตลาดไปหมด คงยากแก่การห้ามใจสุด ๆ ใครเจอร้านไหนน่านั่งน่าลองก็พากันแชร์คลิปวิดีโอ พากันรีวิวความหวานฉ่ำชื่นใจลงสื่อโซเชียลกันเต็มไปหมด หนุ่ม ๆ สาว ๆ คนไหนเห็นแล้วก็ต้องพากันไปเช็คอินเพื่อไม่ให้พลาดของอร่อย
แต่! ของอร่อยมักไม่มีประโยชน์ แต่ใครจะคิดกันเล่าว่า น้ำตาลไม่ใช่แค่ไม่มีประโยชน์ธรรมดา แต่ยังอันตรายอย่างมากอีกด้วย! Dr. Raymond Francis กล่าวว่า เพียงแค่น้ำตาลช้อนเดียวภายในช่วงระยะเวลา 2 ชั่วโมง ก็เต็มไปด้วยข้อเสียนานัปการแล้ว
กล่าวคือ ภูมิต้านทานของคุณจะลดเหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ นั่นส่งผลให้เชื้อโรคพุ่งหาร่างกายของคุณได้ง่ายขึ้น ร่างกายของคุณจะปั่นป่วน ดังนั้น หากคุณอัดน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น หรือก่อนนอน หายนะแน่ ๆ ซึ่งคุณหมอท่านนี้ยืนยันชัดเจนอีกด้วยว่า ปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานน้ำตาล คือ ไม่มีเลย แถมคุณหมอยังย้ำอีกต่างหากว่า ผู้ใหญ่ห้ามเด็กไม่ให้สูบบุรี่กินเหล้า แต่ซื้อขนมนมเนยให้แทน นั่นอันตรายยิ่งกว่าแอลกอฮอลล์และบุหรี่เสียอีก!
หลายคนอาจยังไม่อยากเชื่อและมองว่า หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ก็ไม่น่าจะเดือดร้อนตรงไหน แต่แน่นอนล่ะว่า Dr. Raymond Francis ยังกล่าวย้ำต่อไปอีกว่า น้ำตาลนำมาซึ่งโรคต่าง ๆ มากมาย อาทิ โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และรวมถึงไข้หวัดต่าง ๆ (ยาพิษใกล้ตัวก็ว่าได้)
ลดบริโภคน้ำตาลควรทำอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณทราบถึงอันตรายของ “น้ำตาล” แล้ว คงไม่ใช่เรื่องง่ายหากคุณจะหักดิบ ไม่กินน้ำตาล ไม่แตะน้ำตาล ชนิดที่ว่าเป๊ะๆๆๆร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงไหม? คุณอาจต้องเริ่มจากการควบคุมปริมาณของการบริโภคทีละน้อย เนื่องจากการหักดิบจะทำให้คุณตบะแตก
กล่าวคือ น้ำตาลเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีรสหวาน เป็นสารที่ให้ความหวานและพลังงานแก่ร่างกาย อีกทั้งยังทำให้รู้สึกสดชื่น กระชุ่มกระชวย โดยเฉพาะการอยู่ในประเทศที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ การดื่มน้ำหวานย่อมช่วยดับกระหายได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น ร่างกายของคุณยังโหยหามันอยู่ หากคุณอดหรือหักดิบไม่รับประทานเลย ในท้ายที่สุดแล้ว คุณจะอดรนทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ฉะนั้นวันนี้ เราเข้าใจคุณดี เราจึงรวบรวมวิธี ”ลด” ปริมาณน้ำตาลมาฝากทุกคนกัน ดังนี้
- เริ่มหันมาตวงน้ำตาลใส่ช้อน เพื่อควบคุมปริมาณเบื้องต้น
- จดบันทึกปริมาณน้ำตาลที่คุณทานเข้าไปในแต่ละวัน เริ่มจากวันแรกของการลด และต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน
- รู้จักอ่านฉลากโฆษณาสินค้าที่คุณซื้อมาบริโภค หากเขียนบนฉลากว่า “ไม่มีน้ำตาล”, “สกัดจากธรรมชาติ” หรือ “Organic Raw Sugar” หรือ “Honey” ก็คว้ามาทานได้เลย
- ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าดับกระหายแทนน้ำหวานดูสิ
- เปลี่ยนของทานเล่นจากขนมนมเนยมาเป็นผลไม้
- การออกกำลังกายวันละ 30 นาทีช่วยลดความอยากน้ำตาลได้
- หยุดซื้อขนมหวานเข้าบ้าน!
- ลดความเครียด เพราะความเครียดจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล ยากแก่การควบคุมปริมาณน้ำตาลให้เหมาะสม
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะร่างกายจะสดชื่น ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายไม่ต้องการเพิ่มความหวานมากจนเกินไป
- ตั้งเป้าหมายและมีความมุ่งมั่น ยิ่งหากคุณไม่ใช่ผู้ป่วย ปริมาณการทานหวานอาจไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเท่าดังนั้น เพียงแค่รู้จักควบคุมและรู้เท่าทันสมดุลของการรับประทาน ก็นับว่าเจ๋งสุด ๆ แล้ว
ไม่จำเป็นต้องละเลิกการรับประทานน้ำตาลได้แบบ Dr. Raymond Francis และไม่จำเป็นต้องทำให้ได้ครบ 10 ข้อข้างต้น ขอแค่ลองปฏิบัติตามดูทีละข้อสองข้อ และเพิ่มจำนวนข้อขึ้นเรื่อย ๆ ทีละขั้นอย่างไม่เคร่งครัดจนเกินไป ลองดูสิ เพราะทั้งหมดนี้ ... ก็เพื่อสุขภาพที่ดีกว่าของคุณอย่างไรล่ะ