ดิฉันรับประทานยารักษาโรคซึมเศร้าแล้วตั้งครรภ์ ….จำเป็นต้องหยุดยามั้ยคะ?

เผยแพร่ครั้งแรก 3 ต.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
ดิฉันรับประทานยารักษาโรคซึมเศร้าแล้วตั้งครรภ์ ….จำเป็นต้องหยุดยามั้ยคะ?

คำถามนี้เป็นคำถามที่สร้างความกังวลใจให้ผู้หญิงหลายคนที่รับประทานยารักษาโรคทางจิตเวช รวมทั้งโรคซึมเศร้าได้ไม่น้อย เมื่อมีครอบครัวย่อมมีโอกาสตั้งครรภ์ 

หากผู้ป่วยที่รับประทานยารักษาโรคซึมเศร้าแล้ววางแผนจะตั้งครรภ์  รวมถึงผู้หญิงมีครรภ์ที่มีอาการโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์  ควรได้รับทราบข้อมูลถึงความเสี่ยง ต่อการเกิดความพิการต่อทารกจากการใช้ยาในระหว่างตั้งครรภ์ เปรียบเทียบกับผลดีในการป้องกันอาการกำเริบ  และควรเลือกใช้ยาที่มีความเสี่ยงต่ำต่อทารกในครรภ์และมารดา

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การแบ่งประเภทกลุ่มยา

เรามาทำความรู้จักการแบ่งประเภทกลุ่มยา ตามข้อมูลความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

  • ยากลุ่ม A  หมายถึง  ยาที่ไม่พบว่ามีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เลย จากการศึกษาทดลองแบบควบคุมในมนุษย์  ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อนำมาใช้ในมารดาที่กำลังตั้งครรภ์
  • ยากลุ่ม B  หมายถึง  ยาที่ไม่พบความเสี่ยงต่อตัวอ่อนจากการศึกษาในสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่มีการศึกษาแบบควบคุมในมนุษย์
  • ยากลุ่ม C  หมายถึง  ยาที่พบว่ามีผลเสียต่อตัวอ่อนในสัตว์ทดลอง  แต่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอในมนุษย์
  • ยากลุ่ม D  หมายถึง  ยาที่มีหลักฐานว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการในครรภ์ แต่ผลดีจากการใช้ยา มีมากกว่าความเสี่ยงนั้น เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ยา เพื่อความปลอดภัยของมารดา
  • ยากลุ่ม X  หมายถึง  ยาที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการในทารก และความเสี่ยงนั้นมีมากกว่าผลดีจากการใช้ยา จึงเป็นกลุ่มยาที่ห้ามใช้โดยเด็ดขาดขณะตั้งครรภ์

เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มยาต่าง ๆ ที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า สามารถแบ่ง ตามความปลอดภัยของยาต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนี้

  • ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม Tricyclic antidepressants:  มีข้อมูลการใช้ยากลุ่มนี้ในช่วงตั้งครรภ์ พบว่าไม่เกิดความพิการในทารก แต่อย่างไรก็ตามการใช้ยาในกลุ่ม Tricyclic antidepressants ในขนาดสูงและใช้ยาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระยะใกล้คลอด พบว่าอาจทำให้เกิดอาการถอนพิษยาในเด็กทารกได้ อาการที่อาจพบ ได้แก่ อาการงอแง สั่น ท้องเสีย กินนมยาก กดระบบทางเดินหายใจ และอาการชัก โดยส่วนใหญ่อาการมักเกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังคลอด  แต่อาจเกิดต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่งได้เช่นกัน แต่ไม่เพียงเฉพาะยากลุ่ม Tricyclic antidepressants  เท่านั้น ที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว เพราะยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่มอื่น หรือยาตัวอื่น ๆ ก็อาจเกิดปัญหาดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน
  • ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม SSRIs:  ความปลอดภัยของยากลุ่มนี้ เมื่อนำมาใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ค่อนข้างหลากหลาย  แพทย์อาจเลือกใช้ยากลุ่มนี้ตามแนวทางการรักษาในปัจจุบัน  ยกตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่
    • Fluoxetine  ไม่มีหลักฐานว่ายาเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ โดยปกติ fluoxetine จัดเป็นยาที่มีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ในกลุ่ม C แต่จัดเป็นยากลุ่ม D หากใช้ยาในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์  อาจเลือกใช้ยานี้ เมื่อไม่สามารถใช้ยา Sertraline ได้ แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น  
    • Sertraline  เป็นยารักษาโรคซึมเศร้าที่มีระดับความปลอดภัย ต่อทารกในครรภ์ กลุ่ม C โดยส่วนใหญ่แนวทางการรักษาโรคซึมเศร้าในหญิงตั้งครรภ์ มักแนะนำให้เลือกใช้ยา Sertraline เป็นลำดับแรก รองลงมาคือ fluoxetine ไม่นิยมเลือกยากลุ่ม Tricyclic antidepressants
    • สำหรับยาตัวอื่นๆในกลุ่ม SSRIs เช่น Paroxetine และกลุ่มใกล้เคียง เช่น mianserin, Trazodone, citalopram, venlafaxine, reboxetine ล้วนเป็นยาที่มีระดับความปลอดภัย ต่อทารกในครรภ์กลุ่ม C หรือ D มีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับความพิการของทารกในครรภ์ หากมีการนำมาใช้ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ยารักษาโรคซึมเศร้า กลุ่ม MAOIs:  ยากลุ่มนี้มีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้เมื่อตั้งครรภ์เช่นกัน  จึงควรหลีกเลี่ยงใช้ยากลุ่มนี้เมื่อผู้ป่วยตั้งครรภ์

โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงที่มีการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาโรคซึมเศร้าแล้ว หากวางแผนล่วงหน้าที่จะตั้งครรภ์  แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาที่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนเข้าสู่การตั้งครรภ์  และหากเป็นไปได้ ก็จะหยุดการรักษาด้วยยาโรคซึมเศร้า เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์

หากสมมุติว่าไม่ได้วางแผนการตั้งครรภ์  แต่เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา ผู้ป่วยจำเป็นต้องงดยารักษาโรคซึมเศร้าหรือไม่ ?

ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นระยะเวลา 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ที่อวัยวะต่าง ๆ ของทารกมีการก่อตัวและเจริญเติบโต  โดยหลักการแล้ว แพทย์อาจพิจารณาหยุดยา  หรือถ้าจำเป็นให้ใช้ยา แพทย์จะพิจารณาใช้ยาขนาดต่ำสุดที่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษา เนื่องจากในผู้ป่วยหลายรายที่หยุดยาทำให้อาการกำเริบได้  และหลีกเลี่ยงการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น ต่อเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 และ 3  ความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์และผลกระทบต่างๆจากยามักจะลดลง อย่างไรก็ตาม ในการใช้ยารักษาโรคซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยง และผลประโยชน์ของการให้ยาและเลือกยาที่ปลอดภัยมากที่สุดมีผลต่อทารกในครรภ์น้อยที่สุด


5 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Antidepressants and Pregnancy: Tips from an Expert. Johns Hopkins Medicine. (https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/antidepressants-and-pregnancy-tips-from-an-expert)
Depression during pregnancy: What you need to know. Medical News Today. (https://www.medicalnewstoday.com/articles/327273)

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)