คุณอาจเคยได้ยินมาบ้างแล้วเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันและรักษาได้ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ HPV หรือหูดที่อวัยวะเพศ และเมื่อเป็นแล้วจะรักษาอย่างไร มาดูกัน!
หูดที่อวัยวะเพศเป็นอย่างไร
หูดที่อวัยวะเพศเป็นอาการที่มีหูดเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ หากเกิดขึ้นในเด็กสาวหูดจะเกิดบริเวณปากช่องคลอด ภายในช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก ส่วนเด็กผู้ชายหูดจะเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ปลายอวัยวะเพศ อัณฑะ หรือทวารหนัก โดยหูดจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนออกมา มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน อาจเป็นสีขาวหรือสีเนื้อแล้วแต่ลักษณะของหูด ซึ่งอาจไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทำให้ผู้ที่เป็นหูดส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว
ตรวจ STD วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 76%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
หูดที่อวัยวะเพศเกิดจากการติดเชื้อของกลุ่มไวรัส HPV (human papillomavirus) ซึ่ง HPV มีมากกว่า 100 ชนิด โดย HPV บางชนิดเป็นสาเหตุของหูดที่เกิดขึ้นตามมือและเท้า ซึ่งเป็น HPV ต่างชนิดกับหูดที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ มี HPV กว่า 40 ชนิดที่เป็นสาเหตุของหูดที่อวัยวะเพศ โดยเชื้อไวรัสสามารถติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการสอดใส่ สัมผัส การมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือทางทวารหนัก นอกจากนี้ หูดชนิดนี้สามารถติดต่อจากแม่ตั้งครรภ์ที่ส่งผ่านสู่ลูกน้อยในขณะคลอดได้
การติดเชื้อ HPV เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว หากยิ่งมีคู่นอนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดโรคมากขึ้นเท่านั้น
อาการของโรค
ในผู้ชายนั้น หูดที่อวัยวะเพศอาจพบได้ที่อวัยวะดังต่อไปนี้
- องคชาติ ซึ่งรวมไปถึงหนังหุ้มปลายในผู้ที่ไม่ได้ขลิบหนัง
- อัณฑะ
- ขาหนีบ
- ต้นขาส่วนบน
- รูทวารและผิวหนังบริเวณรอบ
นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในบริเวณท่อปัสสาวะ หรือภายในรูทวารได้ หูดที่อยู่ในท่อปัสสาวะนั้นอาจขัดขวางการปัสสาวะได้
ส่วนในผู้หญิงนั้น หูดที่อวัยวะเพศ สามารถพบได้ที่อวัยวะดังนี้
- บริเวณรอบช่องคลอด หรือปทางเปิดของช่องคลอด
- ปากมดลูก หรือส่วนล่างของมดลูก
- ด้านในของช่องคลอด
- ด้านในหรือรอบๆทวารหนัก
- ต้นขาส่วนบน
ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายนั้น หูดที่อวัยวะเพศอาจพบได้ที่บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ภายในช่องปาก และคอ ได้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ซึ่งหูดที่อวัยวะเพศนั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ซึ่งอาจมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- เห็นได้ชัดเจน หรือ เล็กมากจนไม่สามารถเห็นได้
- ยกตัวนูนขึ้น หรือ แบนราบ
- รูปร่างคล้ายดอกกระหล่ำ (หากเจริญร่วมกันเป็นกลุ่ม)
- สีชมพู หรือ สีเนื้อ
- นิ่ม
ซึ่งลักษณะรอยโรคนั้นมักจะไม่เจ็บและไม่คัน แต่ก็ไม่เสมอไปในบางรายอาจเจ็บและคันก็เป็นได้
อาการบางอย่างสามารถพบได้ แต่พบได้น้อยมาก เช่น
- มีปริมาณตกขาวจากช่องคลอดเพิ่มขึ้น
- มีเลือดออกจากช่องคลอด รูทวาร หรือ ท่อปัสสาวะ
- รู้สึกเปียกชื้นมากขึ้นรอบบริเวณที่เป็นหูด
ควรพบแพทย์ตอนไหน
ควรพบแพทย์หรือสูตินรีแพทย์หากพบอาการต่างๆ ดังนี้
- กำลังมีเพศสัมพันธ์หรือได้มีเพศสัมพันธ์มาก่อนหน้านี้หรือสัมผัสอวัยวะเพศของคนอื่น
- เกิดผิวขรุขระหรือมีตุ่มเนื้อนูนบริเวณอวัยวะเพศ
- คุณกำลังสงสัยว่าคุณอาจเป็นหูดที่อวัยวะเพศ
- พบว่าคู่นอนของคุณกำลังเป็นหูดที่อวัยวะเพศ
เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อ HPV จะไม่แสดงอาการใดๆ ดังนั้น ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์จำเป็นต้องได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการมีเพศสัมพันธ์ของตนด้วย
เนื้อที่เป็นตุ่มนูนออกมาอาจไม่ได้เป็นหูดเสมอไป ซึ่งตุ่มต่างๆ อาจเป็นลักษณะของสิว การติดเชื้อหรือเนื้องอกอื่นๆ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและรับการรักษาที่ถูกต้อง
การวินิจฉัยโรคหูดที่อวัยวะเพศ
แพทย์จะทำการวินัจฉัยโรคหูดที่อวัยวะเพศโดยการตรวจร่างกายเพื่อตรวจหารอยโรค ซึ่งรวมไปถึงการทำการตรวจภายในร่วมด้วยในผู้หญิง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ซึ่งหากคุณเป็นผู้หญิง แพทย์อาจให้คุณทำการส่องกล้องดูปากมดลูก (colposcopy) เพื่อตรวจหาดูว่าคุณมีหูดที่อวัยวะเพศที่บริเวณปากมดลูกร่วมด้วยหรือไม่ เนื่องจากหูดนั้นมีขนาดเล็กจนไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขั้นตอนการทำ จะใช้ไฟส่องและใช้กล้องจุลทรรศ์กำลังขยายต่ำส่องดูที่บริเวณปากมดลูกเพื่อตรวจดูหาความผิดปกติ ซึ่งแพทย์อาจทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อไปตรวจดูทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม การติดเชื้อHPVนั้นมีหลายสายพันธุ์ด้วยกันที่สัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็ง ซึ่งไวรัสHPVนั้นมักจะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก รายงานจากCDC ถึงแม้ว่าสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคหูดที่อวัยวะเพศนั้นไม่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่หากคุณเป็นหูดที่อวัยวะเพศแล้ว คุณอาจมีไวรัสHPVสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งนั้นซ่อนตัวอยู่ การทดสอบหาDNAของไวรัสHPV นั้นสามารถทำได้จากการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อตรวจหาสายพันธุ์ชนิดที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็ง หากคุณมีหูดที่อวัยวะเพศ เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องได้รับการตรวจหามะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก ,ช่องคลอด ,อวัยวะเพศภายนอก และ มะเร็งทวารหนัก
จะเกิดอะไรขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา
หากผู้ป่วยหูดที่อวัยวะเพศไม่ได้รับการรักษา หูดอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นและแพร่กระจายมากขึ้นได้ และแม้หูดจะยุบหายไปแล้ว เชื้อไวรัสยังคงซ่อนตัวอยู่ในร่างกาย นั่นหมายความว่าผู้ป่วยสามารถกลับมาเป็นหูดได้เสมอและสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้
สามารถป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่
วิธีที่ดีที่สุดและสามารถป้องกันการเกิดหูดที่อวัยวะเพศได้ 100% คือวิธีการงดมีเพศสัมพันธ์ โดยต้องไม่มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก การป้องกันการติดเชื้อ HPV นั้นยังหมายรวมถึงการไม่สัมผัสอวัยวะเพศของผู้ติดเชื้อด้วยเช่นกัน
ผู้ที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์จำเป็นต้องใช้ถุงยาอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ ถุงยาอนามัยยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ด้วยแต่อาจป้องกันไม่ได้ 100% นั่นเพราะเชื้อไวรัสสามารถแพร่อยู่บริเวณใกล้เคียงอวัยวะเพศ แพทย์จึงแนะนำให้เด็กหญิงอายุตั้งแต่ 11 – 26 ปีและเด็กชายอายุ 11 – 21 ปี ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ซึ่งวัคซีนดังกล่าวสามารถป้องกันเชื้อไวรัส HPV ได้บางชนิดที่เป็นสาเหตุของหูดที่อวัยวะเพศหรือมะเร็งบางชนิดได้
การรักษาโรค
พบว่าไม่มีการรักษาใดสามารถกำจัดเชื้อไวรัส HPV ได้อย่างถาวร ทว่าการรักษาจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อและช่วยให้หูดยุบตัวลงเร็วขึ้น แม้หูดจะหายแล้วแต่เชื้อก็ยังแฝงตัวอยู่ซึ่งสามารถกลับมาเป็นหูดได้อีกครั้งหรืออาจแพร่เชื้อสู้ผู้อื่นได้
หากพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์จะตรวจร่างกาย วินิจฉัยโรค และให้การรักษา ซึ่งรูปแบบของการรักษานั้นแตกต่างกันในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับบริเวณที่หูดปรากฏ ขนาดของหูด และหูดเกิดขึ้นในบริเวณกว้างแค่ไหน โดยแพทย์จะมีการใช้ยากับผิวบริเวณที่เป็นหูด ใช้เลเซอร์เพื่อกำจัดหูด หรือการควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสด้วยสารแช่แข็ง เป็นต้น
หากเคยเป็นแล้วหูดสามารถเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งคุณต้องพบแพทย์ และคู่นอนของคุณจำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาโรคด้วยเช่นกัน