"ยาคุมฉุกเฉิน” เป็นวิธีคุมกำเนิดที่จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ไม่เคยรับประทานยาคุมกำเนิดมาก่อน หรือไม่เคยฉีดยาคุมกำเนิดมาก่อน
สำหรับประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ราว 85% หมายความว่า แม้จะรับประทานยาแล้วก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์อยู่ เพียงแต่โอกาสจะน้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิด นอกจากนี้การรับประทานยาคุมฉุกเฉินยังอาจมีผลข้างเคียงตามมาจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉินให้มากขึ้น
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
7 ข้อควรรู้ก่อนรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
1. ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อได้
ยาชนิดนี้มีประโยชน์ในการป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้นแต่ไม่สามารถป้องกันโรคจากเพศสัมพันธ์ได้ หากต้องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรใช้วิธีสวมถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีจะดีที่สุด
2. ยาคุมฉุกเฉิน มีผลข้างเคียงสูงมาก
ยาคุมฉุกเฉินมีผลข้างเคียงสูงมาก เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินจะออกฤทธิ์ต่อสภาพแวดล้อมของเยื่อบุโพรงมดลูก จึงมีผลต่อฮอร์โมนและทำให้เกิดความผิดปกติต่อผู้ใช้ตามมาได้ เช่น มีประจำเดือนผิดปกติ คลื่นไส้อาเจียน หากรับประทานบ่อยๆ อาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
3. ต้องรับประทานทันที หลังมีเพศสัมพันธ์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
ยาคุมฉุกเฉินต้องรับประทาน หลังมีเพศสัมพันธ์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง เพราะหากพ้นจากนี้ไปแล้วยาคุมฉุกเฉินอาจไม่มีผลในการป้องกันการตั้งครรภ์
4. ควรใช้ในยามฉุกเฉินจริง ๆ
ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้นเพราะอาจไปกระตุ้นเซลล์มะเร็ง หรืออาจส่งผลกระทบต่อรังไข่และมดลูกได้
5. ประสิทธิภาพไม่สูงเท่ายาคุมกำเนิดแบบอื่น
ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินจะไม่สูงเท่ายาคุมกำเนิดแบบอื่นคือ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เพียง 85-95% จึงมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ ทางที่ดีควรรับประทานยานี้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
6. ต้องรับประทานตามเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
ยาคุมฉุกเฉิน 1 กล่อง มีตัวยา 2 เม็ด ควรรับประทาน ทั้ง 2 เม็ด โดยรับประทานเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานเม็ดที่สองเมื่อครบ 12 ชั่วโมงหลังจากรับประทานเม็ดแรกแล้วซึ่งจะช่วยให้ยามีประสิทธิภาพสูงมาก แต่ก็มีผลข้างเคียงมากเช่นกัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
7. ทำให้ขาดแคลเซียม
จากผลการวิจัยระบุว่า ร่างกายของผู้หญิงที่รับประทานยาคุมฉุกเฉินต้องการปริมาณแคลเซียมมากถึง 1,000 มิลลิกรัม หากได้รับแคลเซียมน้อยอาจมีผลเสียต่อมวลกระดูกมากคือ ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกแตกหักง่าย และเปราะง่ายเมื่อมีอายุมากขึ้น
ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมเฉินอาจเพิ่มปริมาณแคลเซียมด้วยการดื่มนมสดวันละ 3 แก้ว รับประทานโยเกิร์ตวันละ 3 ถ้วย รับประทานเนย หรือซีเรียล หรือดื่มน้ำผลไม้แบบเสริมแคลเซียมวันละ 3 มื้อ
จะเห็นได้ว่า ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ได้มีแค่ประโยชน์อย่างเดียว แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในภายหลังได้ด้วย หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ควรป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นดีกว่า
ที่สำคัญผู้หญิงควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินแค่ไม่เกิน 2 ครั้งในชีวิตเท่านั้น หากเกินกว่านี้อาจเป็นอันตรายได้
รูปแบบของยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
1. ยาเม็ดฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- ตัวยาประกอบด้วยฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนเข้มข้น
- ยี่ห้อที่มีขายในประเทศไทย เช่น Madonna, Postinor และ Mary Pink
- รับประทานครั้งละ 2 เม็ดพร้อมกัน โดยรับประทานให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งรับประทานช้า ยิ่งมีโอกาสตั้งครรภ์มาก และต้องรับประทาน ภายใน 5 วันหลังมีเพศสัมพันธ์
- หากใช้อย่างถูกวิธีจะสามารถช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์ให้เหลือเพียง 15%
2. ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนคู่
- สามารถนำมาใช้เป็นยาคุมฉุกเฉินได้ โดยต้องคำนวณขนาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในการรับประทานแต่ละครั้งให้ได้ 100 ไมโครกรัม
- รับประทานทั้งหมด 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 12 ชั่วโมง
- ตัวอย่างการใช้งาน เช่น ใช้ยาคุมกำเนิดยี่ห้อ Yasmin มีฮอร์โมนเอสโตรเจน 30 ไมโครกรัมต่อ 1 เม็ด เพราะฉะนั้นให้รับประทานครั้งละ 4 เม็ด อีก 12 ชั่วโมงถัดมาก็รับประทานอีกสี่เม็ด
- หากใช้อย่างถูกวิธีจะมีประสิทธิภาพช่วยลดโอกาสตั้งครรภ์ให้เหลือเพียง 13%
นอกจากยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดที่หลายคนอาจคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ปัจจุบันยังมียาคุมฉุกเฉินอีกชนิดหนึ่งด้วย นั่นคือ “ห่วงอนามัยคุมกำเนิด” ทำหน้าที่ทำลายไข่และเชื้ออสุจิไม่ให้ปฏิสนธิกัน
วิธีนี้สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากถึง 99% ซึ่งถือว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาคุมแบบเม็ดเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การใช้งานคือ การสอดเข้าไปในช่องคลอด ดังนั้นจึงต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีการคุมกำเนิดฉุกเฉินด้วยวิธีนี้
วิธีรับประทานยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง
หลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกให้เร็วที่สุด ไม่ควรให้นานเกิน 120 ชั่วโมง หรือ 5 วัน หรือถ้าจะให้ดีก็ไม่ควรเกิน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน หรือถ้าดีที่สุดก็ต้องไม่เกิน 12 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
ที่สำคัญหลังจากรับประทานยาเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง ก็ต้องรับประทานเม็ดที่ 2 ซ้ำอีก 1 เม็ด
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉิน 2 เม็ดพร้อมกันได้ โดยผลลัพธ์ไม่มีความแตกต่างกับการรับประทานครั้งละ 1 เม็ด 2 ครั้ง ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย แต่ในบางรายโดยเฉพาะมือใหม่อาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้
เนื่องจากตัวยาในรูปแบบการรับประทานครั้งเดียวจะมีความแรงเพิ่มมากขึ้นกว่าการแบ่งรับประทาน 2 ครั้งถึง 2 เท่า
หลังจากที่รับประทานยาไปแล้ว หากมีการอาเจียนออกมาภายในเวลา 2 ชั่วโมง จะต้องรับประทานซ้ำใหม่อีก 1 เม็ดในทันที
หากไม่แน่ใจว่า ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัย ปัจจุบันมีบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์เรื่องการใช้ยาคุมฉุกเฉินแล้ว สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นการปรึกษาแบบวีดีโอคอล (เห็นหน้า) หรือจะแค่ปรึกษาทางโทรศัพท์ก็ได้
เป็นบริการที่เรียกว่า สะดวกสบาย ตอบโจทย์คนไม่มีเวลา หรือคนขี้อายไม่อยากไปปรึกษาเรื่องนี้กับแพทย์
ข้อควรระวังในการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
- การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนตามมาได้ แต่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการรับประทานยาแก้อาเจียนกันไว้ก่อน
- การรับประทานยาคุมฉุกเฉินมากกว่า 2 กล่อง หรือ 4 เม็ดต่อเดือนขึ้นไป อาจทำให้มีผลข้างเคียงกับรังไข่ในระยะยาวได้
- หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และลืมรับประทาน ยาคุมชนิดปกตินานเกิน 3 วันก็สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้
- ควรเก็บยาคุมฉุกเฉินเอาไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ หรือมีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส
คำแนะนำในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
การใช้ยาคุมฉุกเฉินแม้จะมีความปลอดภัยสูง แต่หากใช้อย่างผิดวิธีก็อาจส่งผลในระยะยาวได้เหมือนกัน จึงมีคำแนะนำในการใช้ยาคุมดังนี้
- ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนที่จะใช้ยาคุมฉุกเฉิน
- หากจะรับประทานยาคุมฉุกเฉินตามกำหนดอย่างถูกต้องแล้วยังเกิดการตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ได้รับผลข้างเคียงใดๆ
- หากรับประทานยาภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังจากการมีเพศสัมพันธ์จะช่วยป้องกันได้ถึง 85%
- หากรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ตัวยาจะออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 75-79% (ต้องรับประทานทั้งหมด 2 เม็ด)
- หากรับประทานยาพ้นจาก 72 ชั่วโมง หรือนานเกินกว่า 72-120 ชั่วโมง จะป้องกันได้เพียงแค่ 60% เท่านั้น
- หากมีเพศสัมพันธ์หลังจากที่รับประทานยาครบ 2 เม็ดไปแล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการตั้งครรภ์ให้สูงมากขึ้น
- ภายในระยะเวลา 1 เดือน สามารถรับประทานยาคุมฉุกเฉินได้มากกว่า 1 ครั้ง แต่ไม่ควรเกิน 2 กล่องต่อเดือน
- การใช้ยาคุมฉุกเฉินซ้ำกันหลายครั้งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงตามมาได้ จึงไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำ หรือใช้รับประทานเป็นยาคุมกำเนิดในระยะยาว
- หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างใช้ยา เช่น ประจำเดือนขาด หรือประจำเดือนไม่มา ให้รีบไปพบแพทย์
ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
การรับประทานยาคุมฉุกเฉินอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ส่วนจะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของบุคคลนั้นๆ ด้วย ผลข้างเคียงจากการรับประทาน ยาคุมฉุกเฉินที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ มีดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินจะเข้าไปยับยั้งการตกไข่และเลื่อนการตกไข่ออกไปทำให้ประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ เช่น มาช้ากว่าเดิม หรือมาแบบกะปริบกะปรอย แต่อาการเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายใดๆ และจะกลับมาเป็นปกติในเดือนต่อไป
- คลื่นไส้ อาเจียน ยาคุมฉุกเฉินส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกายโดยตรง ภาวะที่ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลาได้ ซึ่งหากอาเจียนมากจนร่างกายอ่อนเพลีย ควรดื่มน้ำเกลือแร่บ่อยๆ หรืออาจไปพบแพทย์ทันที
- ปวดศีรษะ ในบางคนที่ร่างกายต่อต้านยาคุม หรือปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนไม่ทัน อาจทำให้มีอาการปวดศีรษะได้ ซึ่งควรรับประทานยาแก้ปวด และพักผ่อนให้มากๆ เพื่อบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาลง
- ปวดท้อง การรับประทาน ยาคุมฉุกเฉินอาจส่งผลให้มีอาการปวดท้องคล้ายกับตอนมีประจำเดือนได้ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวด
- เสี่ยงตั้งครรภ์นอกมดลูก กรณีการตั้งครรภ์นอกมดลูกนั้นจะเสี่ยงมากในคนที่รับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ หรือรับประทานยาคุมฉุกเฉินแบบต่อเนื่องแทนยาคุมทั่วไป ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงนี้ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น หากต้องการคุมกำเนิดในระยะยาว แนะนำให้ใช้วิธีการฉีดยาคุม หรือรับประทานยาคุมแบบทั่วไปจะดีกว่า
- เสี่ยงเป็นมะเร็ง มีรายงานทางการแพทย์กล่าวว่า ในชีวิตของผู้หญิงไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้ง เพราะยาคุมชนิดนี้จะไปกระตุ้นเซลล์มะเร็งให้เจริญเติบโตและส่งผลให้เกิดมะเร็งในที่สุด โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งรังไข่ นอกจากนี้ยังทำให้มดลูกอ่อนแอและบางลง ซึ่งจะส่งผลต่อการมีบุตรในอนาคตได้เช่นกัน
ผลข้างเคียงของยาคุมฉุกเฉินในระยะยาว
หากรับประทานยาคุมฉุกเฉินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือใช้ยานี้นานเกิน 2 กล่องต่อเดือน ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะเทียบยาคุมกำเนิดแบบปกติไม่ได้ แต่ยังมีผลให้รังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูกมีความผิดปกติอีกด้วย
อีกทั้งยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้อีกด้วย
การเลือกใช้ยาคุมฉุกเฉินแต่ละยี่ห้อ
ในประเทศไทยมียาคุมฉุกเฉินวางจำหน่ายอยู่ด้วยกัน 2 ยี่ห้อ คือ มาดอนน่ากับโพสตินอร์ ซึ่งเป็นยาคุมฉุกเฉินที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ “ลีโวนอร์เจสเทรล (Levonorgestrel)”
ทั้งสองยี่ห้อนี้ต่างก็มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดไม่แตกต่างกันมากนัก เนื่องจากเป็นยาชนิดเดียวกัน และมีขนาดยาเท่ากัน
ในปัจจุบันได้มีการผลิตยาคุมฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพสูงมากขึ้น คือ Ulipristal acetate แต่ยังไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย
รับประทานยาคุมฉุกเฉินจะทำให้อ้วนไหม?
เป็นคำถามที่ผู้หญิงส่วนใหญ่กังวลมาก แต่ความจริงแล้วยังไม่มีผลสรุปที่แน่ชัดว่า ยาคุมฉุกเฉินสามารถทำให้น้ำหนักขึ้นได้หรือเปล่า แต่ตามหลักแล้วยาคุมฉุกเฉินจะรับประทานเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ไม่ได้รับประทานบ่อยๆ เหมือนยาคุมทั่วไปจึงไม่น่าจะมีผลต่อน้ำหนักตัว
แม้ยาคุมฉุกเฉินจะสามารถใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉินได้ดี เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ถุงยางอนามัยแตก หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิด แต่ก็ไม่ควรรับประทานบ่อยๆ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน โดยเฉพาะมดลูกและระบบสืบพันธุ์
ดังนั้นหากต้องมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง แนะนำให้คุมกำเนิดด้วยการสวมถุงยางอนามัย หรือรับประทานยาคุมแบบประจำจะดีกว่า ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อย และมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ดี
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจก่อนแต่งงาน จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android