อาการโคม่า จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองได้รับความเสียหายทั้งแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร ส่งผลให้ผู้ป่วยหมดสติ ไม่สามารถตื่นได้ และไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดๆ
สาเหตุของอาการโคม่ามีได้หลากหลาย ตั้งแต่การเจ็บป่วย การได้รับบาดเจ็บ ไปจนถึงการติดสุราเรื้อรังและการได้รับยาเกินขนาด ผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่ายังมีชีวิตอยู่ เพราะการหายใจและการไหลเวียนโลหิตยังคงทำงานเหมือนเดิม แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามที่ต้องการ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการโคม่าถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ แพทย์และทีมบุคลากรสุขภาพจำเป็นต้องทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาชีวิตและการทำงานของสมองผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด โดยปกติแล้วผู้ป่วยจะโคม่าไม่เกิน 4 สัปดาห์และจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่อาการรุนแรงจนสามารถอยู่ในอาการโคม่าเป็นเวลานานหลายปี
อาการของผู้ป่วยโคม่า
สัญญาณของอาการโคม่า ได้แก่
- เปลือกตาปิด
- ไม่ตอบสนองต่อการเรียก
- หายใจผิดปกติ
- ไม่มีการตอบสนองของแขนขา ยกเว้น รีเฟล็กซ์ของกล้ามเนื้อ
- ไม่มีการตอบสนองต่อความเจ็บปวด ยกเว้น รีเฟล็กซ์ของกล้ามเนื้อ
- รูม่านตาไม่ตอบสนองต่อแสง
สาเหตุของอาการโคม่า
อาการโคม่าเป็นผลจากความเสียหายต่อสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนที่ควบคุมความตื่นตัว สติ และการรับรู้ ได้แก่
- สมองส่วน Diffuse Bilateral Cerebral Hemisphere Cortex ในสมองส่วนหน้า
- สมองส่วน Reticular Activating System ในก้านสมอง
ความเสียหายในบริเวณดังอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้
- การบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือสมอง เช่น บาดแผลจากอุบัติเหตุจราจร หรือการต่อสู้
- อาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับสมอง เช่น โรคเส้นเลือดสมอง (Stroke) โรคเนื้องอกในสมองหรือก้านสมอง
- การขาดออกซิเจน หลังจากการจมน้ำหรือหัวใจวาย
- ภาวะเลือดออก
- มีแรงดันในสมอง
- การติดเชื้อ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคไข้สมองอักเสบ
- โรคเกี่ยวกับการเผาผลาญพลังงาน
- การได้รับสารพิษ เช่น แอมโมเนีย ยูเรีย คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นต้น
การวินิจฉัยอาการโคม่า
ผู้ที่อยู่ในอาการโคม่าจะไม่สามารถพูดหรือแสดงความคิดเห็นด้วยวิธีใดๆ ได้เลย แพทย์จึงจำเป็นจะต้องขอข้อมูลจากคนใกล้ตัว โดยการซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในชีวิตของผู้ป่วย เช่น ประวัติทางการแพทย์ และ
ประวัติการใช้ยารักษาโรค หลังจากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายให้กับผู้ป่วยโดยมีขั้นตอนดังนี้
- ตรวจรีเฟล็กซ์ของกล้ามเนื้อ
- ตรวจรูปแบบการหายใจ
- ตรวจหารอยช้ำบนผิวหนังที่อาจเกิดจากการบาดเจ็บ
- พิจารณาการตอบสนองของผู้ป่วยต่อสิ่งเร้า
- สังเกตขนาดรูม่านตา และตรวจการตอบสนอง
ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้มีการตรวจเลือดและการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพิ่มเติม ได้แก่
- การตรวจนับจำนวนเม็ดเลือด (Blood count)
- การตรวจเลือดวัดการทำงานของต่อมไทรอยด์และตับ
- การตรวจวัดระดับอิเล็กโทรไลต์
- การวัดพิษคาร์บอนมอนอกไซด์
- การได้รับยาเกินขนาด
- การได้รับแอลกอฮอล์เกินขนาด
- การติดเชื้อของระบบประสาท
ในระหว่างการวินิจฉัย หากแพทย์สงสัยว่าสมองของผู้ป่วยอาจได้รับบาดเจ็บจนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการโคม่า ก็อาจใช้วิธีการตรวจดังต่อไปนี้ เพื่อค้นหาสัญญาณของเลือดออกในสมอง เนื้องอก โรคหลอดเลือดสมอง หรือการชัก ได้แก่
- การถ่ายภาพรังสีเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) : ใช้รังสีเอกซ์เพื่อสร้างภาพสมองที่มีรายละเอียดสูง
- การถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) : ใช้คลื่นวิทยุและแม่เหล็กเพื่อสร้างภาพสมอง
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) : ทำหน้าที่วัดระดับกระแสไฟฟ้าภายในสมอง
การรักษาอาการโคม่า
ความสำคัญอันดับแรกของการรักษาอาการโคม่า คือ การรักษาชีวิตของผู้ป่วยและการทำงานของสมองให้ได้มากที่สุด ซึ่งแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะทันทีในกรณีที่มีการติดเชื้อในสมอง หรืออาจมีการรักษาเฉพาะสาเหตุทันทีหากแพทย์ทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการโคม่า เช่น กรณีได้รับยาเกินขนาด แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อลดอาการบวมในสมอง
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดูแลผู้ป่วยที่โคม่าต่อเนื่องไปจนกว่าร่างกายจะแข็งแรง โดยมุ่งเป้าไปที่การป้องกันการติดเชื้อ ป้องกันการเกิดแผลกดทับ และป้องกันการฝ่อลีบของกล้าเนื้อ
ผู้ป่วยบางคนหายขาดจากอาการโคม่าทั้งปัญหาทางร่างกาย จิตใจ หรือสติความนึกคิด แต่ผู้ป่วยที่อยู่ในอาการโคม่านานกว่าหนึ่งปี มักจะไม่หายขาดจากภาวะโคม่าถาวร
ที่มาของข้อมูล
Jacquelyn Cafasso, What causes coma?(https://www.healthline.com/symptom/coma), November 7, 2016.