กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD

Chlortalidone (คลอทาลิโดน)

เผยแพร่ครั้งแรก 17 มิ.ย. 2018 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที

คลอทาลิโดน (Chlortalidone) เป็นยาขับปัสสาวะในกลุ่มไทอะไซด์ (Thiazide) ช่วยลดอาการบวมน้ำในผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว หรือผู้ป่วยโรคไต ช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย และการทำงานของไตผิดปกติ คลอทาลิโดนออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดกลับของโซเดียมและคลอไรด์ โดยตำแหน่งหลักที่ยาออกฤทธิ์ คือ บริเวณโซเดียม-คลอไรด์ ซิมพอร์ทเตอร์ (Na+/Cl- symporter) ที่ท่อขดส่วนปลายของหน่วยไต จึงเพิ่มการขับออกของโซเดียมและน้ำส่วนเกินในรูปของปัสสาวะออกจากร่างกาย เมื่อของเหลวในร่างกายลดลง เลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจและถูกสูบฉีดออกจากหัวใจจึงลดลง ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง 

คลอทาลิโดนมีประสิทธิภาพที่แตกต่างจากยาขับปัสสาวะในกลุ่มอื่น คือ นอกจากยาจะมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตแล้ว การศึกษายังพบว่ายามีฤทธิ์ลดการเกาะกลุ่มกันของเกล็ดเลือด ลดคุณสมบัติการยอมให้สารผ่านเข้าออกจากหลอดเลือด จึงเชื่อว่าประสิทธิภาพเหล่านี้ทำให้คลอทาลิโดนสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

คลอทาลิโดนจัดเป็นยาอันตราย ตามการจำแนกประเภทของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันในประเทศไทยมี คลอทาลิโดนวางจำหน่ายในรูปแบบยาเดี่ยวชนิดเม็ด คือ โคทาลิน (CHOTALIN®) โดยบริษัท Berlin Pharm โดยตัวยาสำคัญ ได้แก่ Chlortalidone ขนาด 25 มิลลิกรัม ส่วนชื่อการค้าอื่นๆนั้น มีวางจำหน่ายในรูปแบบยาเม็ดผสม เช่น EDARBYCLOR® โดยบริษัท Takeda เป็นยาเม็ดผสมระหว่าง Azilsartan ขนาด 40 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มยับยั้งการทำงานของตัวรับแองจิโอเทนซิน ชนิดที่ 2 (Angiotensin II Receptor Blocker; ARB) และ Chlortalidone ขนาด 12.5 มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้ของยา Chlortalidone

  • รักษาภาวะท้องมานในผู้ป่วยโรคตับแข็ง หรือผู้ป่วยภาวะบวมน้ำเนื่องจากกลุ่มอาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะ (Nephrotic syndrome)
  • รักษาโรคความดันโลหินสูง
  • รักษาโรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ระดับไม่รุนแรงถึงปานกลาง
  • รักษาความผิดปกติของไตจากโรคเบาจืด (Diabetes insipidus) หรือเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Partial pituitary diabetes insipidus)

ขนาดและวิธีการใช้ยา Chlortalidone 

  • ข้อบ่งใช้สำหรับรักษาภาวะท้องมานในผู้ป่วยโรคตับแข็ง หรือผู้ป่วยภาวะบวมน้ำเนื่องจากกลุ่มอาการโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ยาในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน ขนาด 50 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ข้อบ่งใช้สำหรับรักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาด 25 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานวันละครั้งในเวลาเช้า สามารถปรับเพิ่มขนาดยาได้ถึง 50 มิลลิกรัมต่อวันตามการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย
  • ข้อบ่งใช้สำหรับรักษาโรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ระดับไม่รุนแรง ถึงปานกลาง ยาในรูปแบบยาเม็ดรับประทาน ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาด 25-50 มิลลิกรัมต่อวัน รับประทานวันละครั้งในเวลาเช้า สามารถปรับเพิ่มขนาดยาได้ถึง 100-200 มิลลิกรัมต่อวันตามการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย ระดับยาที่ใช้ในระยะรักษาให้เป็นขนาดที่ต่ำที่สุดที่ช่วยลดอาการของผู้ป่วยได้

ผลข้างเคียงของยา Chlortalidone 

ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ Chlortalidone ที่พบได้บ่อย ได้แก่ 

  • รบกวนสมดุลของระดับอิเล็กทรอไลต์ 
  • เกิดผื่นลมพิษ 
  • ความดันโลหิตต่ำ 
  • ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องผูก ท้องเสีย 
  • ระดับคลอรีนในกระแสเลือดต่ำ 
  • ระดับกรดยูริกในกระแสเลือดสูง 
  • ลดความอยากอาหาร 
  • อวัยวะเพศไม่แข็งตัว 
  • ระดับน้ำตาลในเลือดสูง 

ส่วนผลข้างเคียงที่พบได้น้อย ได้แก่ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เบาหวานกำเริบ พบน้ำตาลในปัสสาวะ ความผิดปกติต่อตับ ไตอักเสบ น้ำท่วมปอด ความผิดปกติต่อระบบทางเดินหายใจ อาเจียน

ข้อควรระวังของยา Chlortalidone 

  • ยาถูกจัดอยู่ในกลุ่ม category B ตามดัชนีความปลอดภัยการใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ (Pregnancy Safety Index) ยาค่อนข้างมีควรปลอดภัยกับทารกในครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์ควรพิจารณาถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการใช้ยาว่ามีมากกว่าความเสี่ยง
  • ไม่แนะนำให้ใช้ยาในสตรีมีครรภ์เพื่อรักษาภาวะบวมน้ำระดับไม่รุนแรง
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา Chlortalidone หรือยาอนุพันธ์ในกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคแอดดิสัน (โรคที่เกิดจากความผิกปกติของต่อมหมวกไต ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล และ อัลโดสเตอโรนได้เพียงพอ อาการของผู้ป่วย เช่น มีผิวสีเข้ม ความดันโลหิตต่ำ ไม่มีเรี่ยวแรง น้ำหนักตัวลดลง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเผาผลาญและระบบย่อยอาหาร อาการที่รุนแรงนำไปสู่การเกิดภาวะวิกฤตของโรคได้)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยภาวะระดับกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia)
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคไตวายที่ปัสสาวะน้อยกว่า 100 มิลลิลิตรต่อวัน (Anuria)
  • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้สูงอายุ เนื่องจากมีโอกาสได้รับความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงมากกว่า ควรมีการปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการทำงานของไต
  • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเกาท์ เนื่องจากยาเพิ่มระดับกรดยูริกในกระแสเลือด ซึ่งอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
  • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยการทำงานของตับ ไตบกพร่อง
  • ควรรับประทานยานี้พร้อมหรือหลังอาหาร และแนะนำให้รับประทานยาในมื้อเช้า และไม่แนะนำให้รับประทานยาช่วงก่อนนอน เนื่องจากยาทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น อาจรบกวนการนอนของผู้ป่วย


4 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน ผู้อ่านไม่ควรเลือกใช้ยาเองจากการอ่านบทความ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง เพราะแต่ละท่านอาจมีสาเหตุของโรค โรคประจำตัว และประวัติการรักษาที่ต่างกัน ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)