เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ถึงเดือนที่ 4 นี้ ทารกในครรภ์จะมีขนาดประมาณ 4-4.5 นิ้ว หรือขนาดเท่าผลอะโวคาโด เริ่มมีการแสดงสีหน้าท่าทาง สามารถได้ยินเสียงจากภายนอกได้ หัวใจของทารกจะปั้มเลือดประมาณ 28 ลิตรต่อวัน เริ่มเห็นเส้นผม ทารกเริ่มสามารถตั้งศีรษะได้ตรงมากกว่าแต่ก่อน
ในเดือนที่ 4 ของการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่คุณแม่สามารถรู้สึกได้ดังนี้
- มีอาการอ่อนเพลีย
- ปวดปัสสาวะบ่อยมากขึ้น
- อาการแพ้ท้องค่อยๆ ดีขึ้น และหายไป (แต่บางรายก็ยังเป็นอยู่แต่โดยรวมจะดีขึ้น)
- มีอาการท้องผูก และอาจเป็นริดสีดวงทวาร หากใครเคยเป็นริดสีดวงทวารมาก่อน อาจจะเกิดอาการอักเสบได้
- เต้านมขยายใหญ่ขึ้นอีก แต่จะไม่มีอาการตึงคัดเต้านม
- อาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ และมีการเรอบ่อย
- อาจมีอาการปวดศีรษะเป็นครั้งคราว เป็นลม หน้ามืด เวียนหัวบ่อยขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่เปลี่ยนท่าต่างๆ เช่น จากนั่งลุกขึ้นยืน หรือจากนอนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
- มีอาการคัดจมูก เลือดกำเดาออก หูอื้อ อาจมีเลือดออกง่ายขึ้นเวลาแปรงฟัน
- รู้สึกหิวบ่อยและกินจุมากขึ้น
- อาจมีอาการบวมตึงที่หลังเท้า นิ้วมือและใบหน้า อาจมีเส้นเลือดขอดที่ขาทั้ง 2 ข้าง
- ตกขาวเพิ่มขึ้น
- ปวดหลัง
- ปลายเดือนที่ 4 จะสามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจทารกในครรภ์จากการตรวจที่หน้าท้อง
- ยังคงมีอารมณ์อ่อนไหว แปรปรวนง่าย คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรจะรู้สึกดีใจและชื่นชมการตั้งครรภ์ ระวังการสับสนในอารมณ์ อาจรู้สึกเบื่อง่ายและไม่มีสมาธิในการทำงาน
สิ่งที่แพทย์จะให้คุณทำในเดือนนี้ได้แก่
- ชั่งน้ำหนักตัวและวัดความดันเลือด
- ตรวจน้ำตาลและสารไข่ขาวในปัสสาวะ
- ฟังเสียงเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์
- การคลำหน้าท้องเพื่อตรวจดูขนาดและระดับของมดลูก
- ตรวจสอบอาการบวมของแขนขา และหลอดเลือดบริเวณปลายเท้า
- ตรวจหาอาการผิดปกติอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น (ถ้ามี)
การตรวจคัดกรองหรือการตรวจพิเศษที่แนะนำ
- อัลตราซาวน์
- การตรวจ Alpha – fetoprotein (AFP)
- การตรวจ triple test
- การเจาะน้ำคร่ำ amniocentesis
สิ่งที่คุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษในเดือนนี้คือ
- ความดันโลหิต โดยทั่วไปแล้วในช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ความดันโลหิตจะต่ำลงเล็กน้อย จนเข้าเดือนที่ 7 ไปจนถึงการคลอดความดันโลหิตจะสูงขึ้น ในกรณีที่ความดันสูง และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการบวมที่มือ เท้า และใบหน้า หรือตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะแสดงว่ามีอาการแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์อย่างรุนแรง หรือครรภ์เป็นพิษ ซึ่งอันตรายต่อแม่และทารกในครรภ์มาก หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
- ระดับน้ำตาลในปัสสาวะ การตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะอาจไม่ได้เป็นเบาหวาน เพราะในขณะตั้งครรภ์ การทำงานของอินซูลินจะไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เนื่องจากรกจะสร้างสารต้านอินซูลินขึ้นมา เพื่อควบคุมไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดของแม่ผ่านเข้าไปยังทารกมากเกินไป จนอินซูลินไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามปกติ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอาจสูงกว่าระดับปกติ และไตจะทำหน้าที่ขับออกบางส่วน และเมื่อคลอดลูกแล้ว ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะกลับสู่สภาวะปกติเอง มีเพียงบางคนที่มีน้ำหนักตัวมากก็อาจจะพัฒนาไปเป็นโรคเบาหวานต่อไปได้ในอนาคต ส่วนคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ควรแจ้งให้แพทย์ผู้ดูแลการตั้งครรภ์ทราบ เพื่อจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป
- ภาวะโลหิตจาง เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากเกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก วิธีการป้องกันคือ กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง หรือกินธาตุเหล็กเสริมวันละ 30 มิลลิกรัม
- อาการคัดจมูกและอาจมีเลือดกำเดาไหล เป็นอาการที่พบบ่อยมากในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในเลือดมีระดับสูง อาจมีการคั่งของเลือดบริเวณเยื่อบุโพรงจมูก ทำให้เกิดการบวมเช่นเดียวกับเยื่อบุปากมดลูก บางครั้งอาจมีน้ำมูกไหลลงคอ ทำให้ไอหรืออาเจียนได้ ดังนั้นจึงไม่ควรกินยาหรือพ่นจมูกเอง ยกเว้นแพทย์จะเป็นผู้สั่งให้ ทั้งนี้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถป้องกันอาการเหล่านี้ได้โดยกินวิตามินซีวันละ 250 กรัม จะช่วยลดความเปราะบางของเส้นเลือดฝอย ทำให้อาการเลือดกำเดาไหลลดน้อยลง
- ตกขาว ในช่วงตั้งครรภ์จะมีตกขาวมากขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงช่วงก่อนคลอด ตกขาวที่มีจะเป็นลักษณะมูกใส หรือขุ่นเล็กน้อย มีกลิ่นเหม็นอ่อนๆ ทางแก้คือ ให้หมั่นรักษาความสะอาดให้เพียงพอ อย่าให้อับชื้น และไม่ใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ไม่สวนล้างช่องคลอดหรือใช้นิ้วสอดเข้าไปทำความสะอาดภายใน หากตกขาวมีสีหรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป มีอาการคัน หรือปวดแสบปวดร้อน ควรรีบปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง