ต้อกระจก หมายถึง บริเวณของเลนส์ตา (Lens) ที่หนาตัวและขุ่นมัวมากกว่าเดิม โรคต้อกระจกเกิดจากโปรตีนในดวงตาเริ่มจับตัวกันเป็นก้อน แล้วไปขัดขวางแสงไม่ให้สามารถผ่านจากเลนส์ตาไปยังจอประสาทตา (Retina) ได้ชัดเจนเช่นเดิม ซึ่งปกติแล้ว จอประสาทตาทำงานโดยการแปลงแสงที่ผ่านเลนส์ตาดังกล่าวเป็นสัญญาณประสาท และทำหน้าที่ส่งสัญญาณดังกล่าวผ่านเส้นประสาทตาไปยังสมองเพื่อแปลผลให้มองเห็นได้
โรคต้อกระจกจะค่อยๆ ลุกลามอย่างช้าๆ และในที่สุดก็จะกระทบต่อการมองเห็น โรคนี้สามารถพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ บางกรณีอาจพบการเกิดต้อกระจกในดวงตาทั้งสองข้าง แต่มักจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
ประเภทของโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกมีหลายประเภท ซึ่งจำแนกตามตำแหน่ง และสาเหตุของต้อ เช่น
- ต้อกระจกนิวเคลียส (Nuclear Cataract) :ก่อตัวขึ้นตรงกลางเลนส์ตาและทำให้ส่วนนิวเคลียสหรือจุดศูนย์กลางของตากลายเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล
- ต้อกระจกรอบนิวเคลียส (Cortical Cataract) : ต้อจะเกิดเป็นรูปลิ่มและอยู่รอบๆ ตามขอบของนิวเคลียส
- ต้อกระจกแคปซูลส่วนหลัง (Posterior Capsular Cataract) : เป็นรูปแบบของต้อที่พัฒนาไวกว่าสองแบบข้างต้น และส่งผลกระทบต่อด้านหลังของเลนส์ตา
- ต้อกระจกแต่กำเนิด (Congenital Cataract) : เกิดขึ้นเมื่อทารกคลอดออกมาหรือภายในขวบปีแรกของการเจริญเติบโต
- ต้อกระจกทุติยภูมิ (Secondary Cataract) หมายถึงต้อเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การใช้ยา หรือเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของต้อกระจก เช่น โรคต้อหิน (Glaucoma) และโรคเบาหวาน (Diabetes)
- ต้อกระจกเหตุบาดเจ็บ (Traumatic Cataract) : เกิดขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ตา แต่อาจใช้เวลาหลายปีจนกว่าจะมีผลกระทบชัดเจน
- ต้อกระจกเหตุรังสี (Radiation Cataract) : สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากผู้ป่วยได้รับรังสีรักษาสำหรับโรคมะเร็ง
อาการของโรคต้อกระจก
อาการทั่วไปของต้อกระจก ได้แก่
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจน หรือภาพมัว
- มีปัญหาการมองในที่มืด
- ภาพสีจางลง
- ดวงตาไวต่อแสงจ้า
- มองเห็นภาพซ้อนในดวงตาข้างที่เป็นโรค
- ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
สาเหตุของโรคต้อกระจก
ต้อกระจกเกิดได้หลายสาเหตุ ได้แก่
- ร่างกายสร้างสารอนุมูลอิสระ (Oxidants) มากเกินไป
- การสูบบุหรี่
- รังสีอัลตราไวโอเลต
- การใช้ยาสเตียรอยด์ และการใช้ยาอื่นเป็นระยะเวลานาน
- โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน
- การได้รับบาดเจ็บ
- การรับรังสีรักษา
- อายุที่มากขึ้น
- การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก
- โรคอ้วน
- ความดันโลหิตสูง
- การได้รับบาดเจ็บที่ตา
- ประวัติครอบครัวที่เป็นโรคต้อกระจก
- มองแสงจ้าบ่อยครั้ง
- การสัมผัสกับรังสีเอกซเรย์และการรักษาโรคมะเร็ง
การวินิจฉัยโรคต้อกระจก
แพทย์จะทำการตรวจตาอย่างละเอียด เพื่อตรวจหาต้อกระจกและประเมินการมองเห็น ซึ่งอาจรวมถึงการวัดสายตาเพื่อตรวจสอบการมองเห็นในระยะทางที่แตกต่างกัน และทำการตรวจวัดความดันลูกตา (Tonometry)
การตรวจวัดความดันลูกตานิยมที่สุดจะใช้ยางลมบรรจุอากาศกดเลนส์ตาของคุณให้แบนลง และตรวจความดันตาโดยไม่เจ็บปวด ซึ่งแพทย์จะหยอดยาเพื่อทำให้รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบเส้นประสาทตาและจอประสาทตาที่ด้านหลังของดวงตา เพื่อดูว่ามีความเสียหายใดหรือไม่
การรักษาโรคต้อกระจก
โรคต้อกระจกสามารถรบกวนกิจวัตรประจำวันและทำให้ตาบอดได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และการผ่าตัดรักษาต้อกระจกก็เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป คิดเป็นประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของการรักษาทั้งหมด โดยทั่วไปแล้ว แพทย์มักใช้การผ่าตัดรักษาต้อกระจก 2 วิธี ได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- การผ่าตัดสลายต้อกระจก (Phacoemulsification) : ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อแยกเลนส์ตาให้แตกออกจากกันและเอาชิ้นส่วนที่มีปัญหาออกไป
- การผ่าตัดแผลใหญ่ (Extracapsular Surgery) : แพทย์จะทำการกำจัดส่วนของเลนส์ตาที่ขุ่นมัวด้วยการกรีดแผลยาวในเลนส์ตา โดยภายหลังการผ่าตัดจะใส่เลนส์ตาเทียมทดแทนไว้ในตำแหน่งดังกล่าว
การผ่าตัดต้อกระจกโดยทั่วไปนั้น มีความปลอดภัยและมีอัตราความสำเร็จสูงมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียวกับการผ่าตัด
หากคุณไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ หรือยังไม่พร้อมที่จะผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำให้คุณตัดแว่นสายตาที่เหมาะกับค่าสายตามากขึ้น รวมถึงใช้เลนส์ขยายหรือใช้แว่นกันแดดที่มีสารเคลือบป้องกันแสงสะท้อน
การป้องกันโรคต้อกระจก
เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก สามารถปฏิบัติได้ตามวิธีดังนี้
- ปกป้องดวงตาจากรังสียูวีด้วยการสวมแว่นกันแดดเมื่อออกไปกลางแจ้ง
- เข้ารับการตรวจตาเป็นประจำ
- หยุดสูบบุหรี่
- รับประทานผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
- รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป
- รักษาโรคเบาหวาน และความผิดปกติทางการแพทย์อื่นๆ ให้อยู่ในภาวะควบคุม