โรคหิดคืออะไร
โรคหิด (Scabies) เกิดจากไรชนิดหนึ่งที่เป็นปรสิตและมีชีวิตอยู่บนผิวหนังของคน สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่การสัมผัสผิวหนังของผู้ที่เป็นโรคหิดก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อต่อกันได้ โดยจะทำให้มีอาการผิดปกติบนผิวหนัง คือ มีอาการคัน มีผื่นขึ้น และรู้สึกระคายเคือง แต่โรคหิดไม่ใช่โรคอันตรายและรักษาให้หายได้
ทำความรู้จักตัวหิด
โรคหิดมีสาเหตุมาจาก "ตัวหิด" (Sarcoptes scabiei) ซึ่งวงจรชีวิตของตัวหิดมีลักษณะดังต่อไปนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- หิดตัวเมียจะใช้ปากและขาหน้าฝังตัวเข้าไปในผิวหนังชั้นนอกและวางไข่ภายใน ส่วนหิดตัวผู้จะเดินไปมาระหว่างจุดฝังตัวของตัวเมียที่วางไข่แล้ว เพื่อมองหาคู่
- หลังจากจับคู่และผสมพันธุ์แล้ว หิดตัวผู้จะตายลงและหิดตัวเมียจะเริ่มเจาะผิวหนังของเราให้เป็นโพรงเพื่อวางไข่อีกครั้ง ซึ่งหิดจะวางไข่ประมาณ 2-3 ใบต่อวัน
- การวางไข่จะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 3-4 วัน ก่อนที่ตัวอ่อนจะฟักออกมา และเติบโตจนกลายเป็นหิดตัวเต็มวัยภายใน 10-15 วัน
- เมื่อหิดโตเต็มวัยแล้ว หิดตัวผู้จะยังคงอยู่บนพื้นผิวหนัง ส่วนหิดตัวเมียจะฝังตัวลงไปในผิวหนังบริเวณอื่นเพื่อวางไข่ และเริ่มวงจรชีวิตใหม่อีกครั้ง
ผู้ที่เป็นโรคหิดจะมีตัวหิดอยู่ที่ผิวหนังประมาณ 10-15 ตัวในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวหิดจะมีขนาดเล็กมากและไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผู้ที่เป็นโรคหิดจะรู้ว่ากำลังเป็นโรคนี้ได้จากอาการระคายเคืองและคัน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา วงจรชีวิตของหิดจะเวียนว่ายต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดบนผิวหนัง และจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หิดชอบพื้นที่อบอุ่นอย่างเช่น บริเวณข้อพับ ระหว่างนิ้ว ใต้เล็บ รอบร่องนมหรือบั้นท้าย และยังสามารถซ่อนตัวอยู่ใต้สายนาฬิกาข้อมือ กำไล หรือแม้แต่แหวนที่นิ้วได้อีกด้วย ส่วนอาการคันรุนแรงที่มาจากโรคหิดนั้นอาจเกิดมาจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันร่างกายที่มีต่อน้ำลาย ไข่ และของเสียจากตัวหิด
โรคหิดแพร่กระจายได้อย่างไร
โรคหิดจะใช้เวลานานประมาณ 8 สัปดาห์ จึงจะก่อให้เกิดอาการของการติดเชื้อแรกเริ่ม ซึ่งจะเรียกช่วงเวลาดังกล่าวจะเรียกว่า "ระยะฟักไข่" โดยสามารถแพร่กระจายและติดต่อได้จาก
- มีการสัมผัสกันระหว่างผิวหนังเป็นเวลานาน
- การมีเพศสัมพันธ์
- การใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเตียงนอนร่วมกับผู้มีหิดเป็นเวลานาน
โรคหิดมักแพร่กระจายมากในพื้นที่ที่การบริการทางสาธารณสุขไม่ทั่วถึง และมักพบได้บ่อยในพื้นที่เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน เช่น ประเทศแอฟริกา ภูมิภาคแถบอเมริกากลางและใต้ เกาะแถบทะเลแคริบเบียน ประเทศอินเดีย ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการระบาดของโรคหิดยังสามารถเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เช่น โรงเรียน ศูนย์ดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ สถานพยาบาล และเรือนจำ เป็นต้น
โดยปกติแล้ว โรคหิดจะไม่สามารถติดต่อได้หากเป็นการสัมผัสกันเพียงระยะเวลาชั่วครู่ เช่น จับมือ หรือกอดระยะเวลาสั้นๆ และคุณจะไม่สามารถติดโรคหิดจากการใช้ห้องน้ำร่วมกันกับผู้อื่นด้วย โดยสรุปคือ เราจะติดโรคหิดได้ ก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดและเป็นระยะเวลานานพอ
อาการของโรคหิด
อาการที่พบเห็นได้มากของโรคหิด จะได้แก่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- อาการคันอย่างรุนแรง และจะรุนแรงมากขึ้นในช่วงกลางคืน หรือเมื่อผิวหนังอุ่นขึ้น
- มีผื่นขึ้นบริเวณที่มีหิดฝังตัวอยู่ โดยมักจะเป็นจุดสีแดงเล็กๆ หากเกาที่ผื่นบริเวณนี้ ก็อาจทำให้เกิดสะเก็ดและรู้สึกปวดขึ้นมา มักส่งผลไปทั่วร่างกายยกเว้นที่ศีรษะ ส่วนตำแหน่งที่มักได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ พื้นที่ใต้วงแขน รอบเอว ข้างในข้อศอก บั้นท้ายส่วนล่าง ขาส่วนล่าง ฝ่าเท้า เข่า สะบักไหล่ อวัยวะเพศของผู้หญิง ขาหนีบ รอบข้อเท้า ส่วนผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจมีผื่นขึ้นที่ศีรษะและคอได้
- รอยโพรงที่อาจเกิดขึ้นที่จุดใดของร่างกายก็ได้ โดยจะมีความยาวสั้นๆ เพียง 1 เซนติเมตรหรือน้อยกว่านั้น มีลักษณะเป็นรอยขดไปมาเป็นเส้นสีเงินบนผิวหนัง โดยมีจุดดำที่ปลายข้างหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยการใช้แว่นขยาย สำหรับผู้ใหญ่ รอยโพรงมักปรากฎออกมาตามรอยพับระหว่างนิ้วมือ นิ้วเท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและด้านข้างของเท้า อาจปรากฎรอบหัวนมด้วยในผู้ป่วยหญิง ส่วนผู้ป่วยชายก็อาจพบรอยโพรงได้รอบๆ อวัยวะเพศ
อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้วประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพราะเป็นระยะเวลาที่ร่างกายเริ่มตอบสนองต่อของเสียจากหิด แต่หากคุณเคยเป็นโรคหิดมาก่อน อาการจะเริ่มภายใน 1-2 วันเมื่อได้รับเชื้ออีกครั้ง เนื่องจากภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณได้จดจำการตอบสนองที่ควรมีต่อการติดเชื้อโรคหิดแล้วนั่นเอง
จะตรวจโรคหิดได้ที่ไหน
คุณสามารถเข้ารับการตรวจหิดและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้ที่โรงพยาบาล และคลินิกชุมชนที่รับตรวจ
การวินิจฉัยโรคหิด
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหิดได้จากการสังเกตลักษณะผิวหนังที่มีอาการ และจากการสังเกตหารอยโพรงของหิด แต่เพราะตัวหิดสามารถแพร่กระจายได้ง่ายมาก การวินิจฉัยจึงควรต้องดำเนินการกับสมาชิกในครัวเรือนเดียวกันด้วย เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการเดียวกันหรือไม่ นอกจากนี้แพทย์จะจำแนกภาวะผิวหนังอื่นๆ ที่อาจเป็นต้นเหตุของอาการที่คล้ายกัน เช่น โรคผิวหนังอักเสบ หรือโรคพุพอง ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรง
นอกจากนี้ รอยฝังของตัวหิดยังสามารถพบเจอได้จากการทดสอบด้วยหมึก ซึ่งจะมีการขยี้หมึกรอบๆ ผิวหนังที่คันก่อนจะเช็ดออกด้วยแอลกอฮอล์ ถ้ามีรอยฝังของตัวหิดอยู่ หมึกบางส่วนจะหลงเหลืออยู่บนผิวหนังซึ่งจะทำให้แพทย์มองเห็นโพรงได้ชัดเจนขึ้น
และเพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัย แพทย์อาจเก็บตัวอย่างผิวหนังด้วยการขูดผิวหนังบริเวณที่มีอาการเบาๆ และตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาร่องรอยของตัวหิด เช่น ของเสียและไข่ เป็นต้น
การรักษาโรคหิด
แม้โรคหิดจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่คาดว่าตนเองเป็นโรคหิด เพราะโรคนี้จะไม่หายเองหากไม่ทำการรักษา โดยการรักษาโรคหิดมีหลายวิธี คือ
ตรวจ STD วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 76%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1. การใช้ครีมเพอร์เมทริน (Permethrin)
2. การใช้โลชั่นมาลาทิออน (Malathion)
ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ มีส่วนประกอบเป็นยาฆ่าแมลงที่สามารถกำจัดหิดได้ดี โดยแพทย์มักจะใช้ครีมเพอร์เมทรินในปริมาณ 5% สำหรับการรักษาครั้งแรกก่อน หากครีมเพอร์เมทรินรักษาไม่ได้ผล จะเปลี่ยนไปใช้โลชั่นมาลาทิออนในปริมาณ 0.5% แทน ส่วนการกำจัดหิดด้วยสบู่ น้ำร้อน หรือการขัดผิวหนังนั้นไม่ได้เป็นการช่วยกำจัดหิดออกแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อใหม่ สมาชิกในครัวเรือนทุกคนและผู้ที่สัมผัสตัวผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาพร้อมกันด้วยแม้ว่าจะไม่มีอาการก็ตาม และให้พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกาย เช่น การกอด การจับมือ จนกว่าทุกคนจะหายจากโรคหิดโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจต้องทายาซ้ำอีกครั้งหลังการรักษาครั้งแรก เพื่อทำลายตัวอ่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ฟักตัว
3. การใช้ยาอื่นๆ เช่น ไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin) ยาทาเบนซิลเบนโซเอท (Benzyl benzoate) ยาทาโครทามิตัน (Crotamiton) ยาทาที่มีซัลเฟอร์ (Sulfur) เป็นส่วนประกอบ
และคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
- ทาครีมหรือโลชั่นบนผิวหนังทั่วร่างกาย แต่เว้นเฉพาะส่วนศีรษไว้ะ โดยก่อนทาต้องทำให้ผิวหนังเย็นและแห้งก่อน และห้ามทาหลังการอาบน้ำร้อน เพราะหากทาครีมขณะที่ร่างกายที่ร้อนเกินไปจะทำให้ยาดูดซับเข้าผิวหนังเร็ว และครีมจะไม่เกาะอยู่บนผิวหนังบริเวณที่หิดฝังตัวอยู่
- อ่านคำแนะนำการใช้ที่ฉลากผลิตภัณฑ์ครีม หรือโลชั่นให้ละเอียด เพราะสินค้าบางประเภทต้องใช้ทาทั่วร่างกายรวมถึงหนังศีรษะและใบหน้าด้วย หรือบางชนิดอาจต้องใช้เฉพาะบริเวณคอลงไปเท่านั้น
- อย่าลืมใช้ครีมหรือโลชั่นกับบริเวณที่เอื้อมถึงยาก เช่น แผ่นหลัง ง่ามนิ้วมือและเท้า ใต้เล็บ และบนอวัยวะเพศ
- ใช้ก้านสำลี หรือแปรงสีฟันเก่าทาครีมหรือโลชั่นใต้เล็บมือและเล็บเท้า และใส่อุปกรณ์ที่ใช้ทาลงถุงปิดมิดชิดก่อนทิ้งด้วย
- เมื่อทาโลชั่นแล้ว ควรปล่อยผิวหนังส่วนที่ทาไว้ 8-24 ชั่วโมง เพื่อให้ตัวยาในครีมหรือโลชั่นได้สัมผัสกับผิวหนังนานที่สุด แต่หากผู้ป่วยอาบน้ำ ก็ให้ทาใหม่อีกครั้ง
- ทาครีมหรือโลชั่นกับผิวหนังซ้ำทันทีที่ถูกล้างออกก่อนเวลาที่ฉลากระบุไว้
- ติดต่อแพทย์ทันทีที่อาการคันไม่ดีขึ้นหลังการรักษา 2 สัปดาห์ หรือเมื่อคุณสังเกตเห็นรอยฝังหรือโพรงใหม่บนผิวหนัง
การรักษาโรคหิดมักใช้เวลาประมาณ 1 เดือนกว่าอาการคันทั่วไปจะหายโดยสมบูรณ์ และต้องใช้เวลานานกว่านั้นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบวมที่อวัยวะเพศ และแพทย์ผู้ดูแลจะแนะนำให้ทำการรักษาซ้ำหลังจากนั้น หรืออาจเปลี่ยนไปใช้โลชั่นตัวใหม่แทน
การควบคุมการติดเชื้อ
ในวันแรกที่ใช้ครีมหรือโลชั่น คุณควรซักผ้าปูเตียง เสื้อผ้าที่ใส่นอน และผ้าเช็ดตัวในอุณหภูมิที่สูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ถ้าคุณไม่สามารถทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มเหล่านั้นได้ ให้ใส่ผ้าเหล่านั้นในถุง แล้วเก็บเอาไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 72 ชั่วโมงเพื่อให้ตัวหิดตายทั้งหมดเสียก่อน
ถ้าคุณถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคหิด ให้พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้อื่นจนกว่าคุณจะทาครีมหรือโลชั่นแล้ว และพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสมาชิกในครัวเรือนเดียวกันไปก่อน จนกว่าคุณจะดำเนินการรักษาครบหรือหายดี คุณอาจต้องหยุดงานหรือหากโรคเกิดในเด็ก ก็อาจต้องให้หยุดเรียนไปก่อนเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น จนกว่าการรักษาครั้งแรกเสร็จสมบูรณ์
การรักษาอาการคัน
แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ครีมสเตียรอยด์ (Steroids) ชนิดอ่อนเพื่อบรรเทาอาการคัน หรือผู้ป่วยสามารถใช้ครีมหรือเจลลดคันจากร้านขายยาทั่วไปได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ รวมถึงยาต้านฮิสทามีน (Antihistamine) ที่จะช่วยควบคุมอาการคันและช่วยให้นอนหลับได้สนิทในตอนกลางคืน ซึ่งยาต้านฮิสทามีนประเภทนี้จะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงนอนด้วย คุณไม่ควรขับรถหรือใช้งานเครื่องจักรหนักใดๆ ระหว่างที่ใช้ยานี้
คุณอาจมีอาการคันต่อเนื่องนาน 2-3 วันหลังรักษาครบกำหนดแล้ว เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังคงตอบสนองต่อซากหิดที่ตายกับของเสียที่ตกค้างอยู่ แต่หากมีอาการคันนานต่อเนื่องนานกว่า 6 สัปดาห์หลังสิ้นสุดการรักษาตามที่กำหนดแล้ว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหิด
1. การติดเชื้อทุติยภูมิ
การติดเชื้อทุติยภูมิ (Secondary infection) หมายถึง การติดเชื้อเพิ่มอีกสายพันธุ์ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อบางอย่างอยู่แล้ว เพราะอาการคันที่ผิวหนังซ้ำๆ ที่เกิดจากโรคหิดสามารถทำลายผิวหนังชั้นนอกได้ และทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆ ที่ผิวหนังสูงขึ้น เช่น โรคพุพอง หรือทำให้ภาวะผิวหนังผิดปกติที่เป็นอยู่ เช่น โรคผิวหนังอักเสบ เลวร้ายลงได้อีก
หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนนี้ แพทย์อาจให้ใช้ยาปฏิชีวนะในการควบคุมการติดเชื้อ โดยภาวะผิดปกติของผิวหนังอื่นๆ ก็จะทุเลาลงไปด้วยหลังการรักษาการติดเชื้อโรคหิดเสร็จสมบูรณ์
2. โรคหิดนอร์เวย์
โรคหิดนอร์เวย์ (Norwegian scabies) เป็นการติดเชื้อหิดที่รุนแรงมาก ซึ่งเกิดจากการมีหิดหลายพันตัวอยู่บนผิวหนัง โรคหิดทั่วไปจะพัฒนากลายเป็นโรคหิดนอร์เวย์ได้หลังเกิดปฏิกิริยาบนผิวหนัง ซึ่งภาวะนี้จะส่งผลไปทั่วร่างกายรวมไปถึงศีรษะ หนังศีรษะ คอ และเล็บ แต่จะแตกต่างจากโรคหิดทั่วไปตรงที่ผื่นที่เกิดขึ้นจะไม่มีอาการคันร่วมด้วย
ลักษณะของผู้ป่วยโรคหิดนอร์เวย์
จำนวนตัวหิดที่มหาศาลจะทำให้ผู้ป่วยเกิดสะเก็ดนูนหนาขึ้นบนผิวหนัง โดยมักคล้ายกับโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นภาวะผิวหนังที่มีสะเก็ดปื้นสีแดงแตกปกคลุมร่างกาย จนกลายเป็นสะเก็ดสีเงิน
ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคหิดนอร์เวย์
ภาวะนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ได้แก่
- ผู้ที่อายุน้อยมาก
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีความผิดปกติที่สมอง หรือมีความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease)
- ผู้ป่วยดาวน์ซินโดรม
- ผู้หญิงตั้งครรภ์
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยที่มีภาวะซึ่งส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยโรคระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง (Human Immunodeficiency Virus: HIV) หรือโรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome: AIDS)
- ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์รักษาภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่
- ผู้ที่กำลังรักษาด้วยการทำเคมีบำบัด
ดังนั้น ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันสุขภาพดีอยู่แล้ว เมื่อป่วยเป็นโรคหิด ก็จะมีมีหิดอยู่บนร่างกายเพียง 5-15 ตัวเท่านั้น เพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เข้าไปขัดขวางวงจรการเพิ่มจำนวนของตัวหิดแล้ว แต่หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอ จำนวนของตัวหิดจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ภาวะโรคหิดนอร์เวย์ยังติดต่อได้ง่ายมาก แม้การสัมผัสกันเพียงระยะสั้นๆ หรือแม้แต่การใช้ผ้าปูเตียงหรือเสื้อผ้าร่วมกันก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีอยู่แล้ว การสัมผัสผู้ป่วยโรคหิดนอร์เวย์จะทำให้คุณติดเชื้อโรคหิดทั่วไปเท่านั้น และโรคหิดนอร์เวย์ก็สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ครีมฆ่าแมลง หรือยาที่ชื่อว่า "ไอเวอร์เมคทิน" (Ivermectin) ซึ่งเป็นยาเม็ดแบบกลืน มีฤทธิ์กำจัดตัวหิดด้วยการหยุดระบบประสาทของปรสิต
วิธีกำจัดและป้องกันโรคหิด
ระหว่างทำการรักษาหิด ให้คุณปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
- ทำความสะอาดที่นอน ผ้าเช็ดตัว รวมถึงเสื้อผ้าทุกตัวที่ผู้ป่วยและผู้อยู่ใกล้ชิดสวมใส่ โดยให้แช่น้ำร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียสนานอย่างน้อย 20 นาทีเพื่อกำจัดตัวหิด แล้วนำไปตากแดดทุกวันเพื่อฆ่าเชื้ออีกครั้ง
- นำสิ่งของที่ไม่สามารถซักล้างได้ใส่ถุงปิดสนิทอย่างน้อย 3-5 วัน เพื่อให้ตัวหิดและไข่ตายหมด เนื่องหิดจะอยู่ภายนอกตัวคนได้ไม่เกิน 3 วัน
- ดูดฝุ่นทำความสะอาดพรมและเฟอร์นิเจอร์ และให้ทิ้งถุงเก็บฝุ่นหลังดูดทำความสะอาดเสร็จแล้ว
- บอกคู่รักของคุณ คนในครอบครัว หรือคนที่มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับคุณว่าคุณเป็นโรคหิด เพราะพวกเขาควรจะต้องทำการรักษาโรคไปพร้อมกับคุณ เพื่อป้องกันการเกิดติดเชื้อซ้ำไปมาระหว่างกัน หรือจะได้หาทางป้องกันการติดเชื้อโรคหิดจากคุณได้ทันเวลา
- งดการมีเพศสัมพันธ์และการสัมผัสร่างกายอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะรักษาโรคหายสมบูรณ์แล้ว และการใส่ถุงยางอนามัย ก็ไม่สามารถป้องกันโรคหิดได้ด้วย
ผู้ป่วยโรคหิดอาจมีอาการคันหลังรักษาโรคแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอาการคันยังคงเป็นอยู่นานกว่านั้น หรือมีอาการผื่น มีรอยคดเคี้ยวที่ผิวหนังขึ้นใหม่ ผู้ป่วยจะต้องทำการรักษาซ้ำอีกครั้ง
ต้องย้ำอีกครั้งว่าโรคหิดเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ และไม่ใช่โรคติดต่อร้ายแรงแต่อย่างใด เพียงแต่เชื้อของโรคนี้สามารถติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับผู้ป่วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย การเว้นระยะห่าง ไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคหิดจึงเป็นวิธีป้องกันที่ปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ หากคุณมีอาการคัน ระคายเคืองและสงสัยว่าตนเองอาจเป็นโรคหิด ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษาให้ทันเวลา ก่อนที่เชื้อจะแพร่ไปติดผู้อื่นเสียก่อน
ถ้าตังครรภ์ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม มีผลกระอย่างไรบ้าง