อาการตาพร่ามัว (Blurred Vision) คือ การที่ดวงตามองเห็นได้ไม่ชัดเจน หรือเห็นสิ่งต่างๆ เป็นภาพเบลอๆ มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา
แต่บางครั้งอาการตาพร่ามัวก็เกิดขึ้นกับคนหนุ่มสาวได้เหมือนกัน นอกจากจะมองเห็นได้ไม่ชัดแล้วยังอาจมีอาการอื่นๆ เกิดร่วมด้วย เช่น มีน้ำตาและขี้ตามาก ตาแห้งจนเจ็บ หรือแสบตา ตาไม่สู้แสง เห็นจุด หรือเส้นบางๆ คั่นอยู่กลางตา เป็นต้น
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
อาการตาพร่ามัวแม้จะดูธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากการมองเห็นไม่ชัดเจนจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตแล้ว อาการนี้ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคต่างๆ ได้เช่นกัน
อาการตาพร่ามัว บ่งบอกความผิดปกติอะไรบ้าง?
อาการตาพร่ามัวเกิดจากกลุ่มโรคหลักๆ 4 กลุ่ม คือ
- สายตาผิดปกติ (Refractive error) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
- ความผิดปกติของการส่งสัญญาณประสาท (Sensory pathway abnormalities)
- มีอะไรมาขัดขวางทางเดินของแสงเข้าสู่จอรับภาพ (Cloudy of ocular media)
- ตรวจไม่พบความผิดปกติที่เป็นสาเหตุใดๆ (Functional visual loss)
ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว
อาการตาพร่ามัวอาจเกิดได้ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรืออาจเกิดร่วมกันหลายปัจจัยก็ได้ ควรลองสังเกตตัวเองจากข้อดังต่อไปนี้
- ดวงตาแห้ง เนื่องจากขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยงซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของต่อมน้ำตาโดยตรง หรือเกิดจากร่างกายขาดน้ำก็ได้
- มีแผล หรือเกิดการบาดเจ็บที่ดวงตา
- สวมคอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด
- เส้นเลือดฝอยในตาแตก
- กระจกตามีบาดแผล หรือเกิดรอยถลอก
- โรคเส้นประสาทตาอักเสบ
- โรคต้อกระจก ซึ่งเกิดจากโปรตีนในเลนส์แก้วตาสะสม ทำให้เลนส์ขุ่นมัวและเบลอ
- จอประสาทตามีการติดเชื้อ
- โรคจอประสาทตาเสื่อม ทำให้จุดรับภาพส่วนกลางผิดปกติ เกิดขึ้นได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้อาการตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นตาบอดได้
- มีความผิดปกติของสายตา ได้แก่ สายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้สายตาไม่เหมาะสม พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มขึ้น
- โรคต้อหิน ซึ่งเกิดจากในลูกตามีแรงดันมากกว่าปกติจนทำให้เส้นประสาทตาเสียหายได้
- โรคหลอดเลือดสมอง หรือมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- โรคไมเกรน ซึ่งอาการตาพร่ามัวจะมาพร้อมอาการปวดศีรษะด้วย
- จอประสาทตาถูกทำลายจากโรคเบาหวาน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาและไม่ควบคุมน้ำตาลในเลือด อาจถึงขั้นตาบอดได้
เมื่อไหร่จึงควรไปหาหมอ?
อาการตาพร่ามัวอาจเกิดพร้อมกับอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ หากได้พักผ่อนเพียงพอ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่หากยังมีอาการตาพร่ามัวอยู่ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน โดยเฉพาะหากเกิดอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วย
- เจ็บตามาก
- ตาแดง
- มีเลือดไหลออกจากตา
- ปวดศีรษะมากซึ่งอาจมีอาการคลื่นไส้
- อาเจียนด้วย
- ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ได้
- พูดติดขัด
- ใบหน้าเบี้ยวสูญเสียการมองเห็นชั่วขณะ
อาการดังกล่าวเป็นสัญญาณความผิดปกติที่ค่อนข้างรุนแรง แม้จะเกิดอาการขึ้นเพียงอย่างเดียวก็ไม่ควรปล่อยไว้ต้องรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
การรักษาอาการตาพร่ามัว
อาการตาพร่ามัวสามารถรักษาได้โดยการหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น
- หากสาเหตุมาจากตาแห้ง ขาดน้ำตาหล่อเลี้ยง ให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ
- หากอาการตาพร่า มองเห็นไม่ชัดเจน เกิดจากความผิดปกติของสายตา สามารถแก้ไขได้ด้วยการสวมแว่นสายตา โดยการวัดสายตาและตัดแว่นควรได้รับการประเมินและแนะนำโดยจักษุแพทย์
- หากอาการมีสาเหตุมาจากต้อกระจก อาจต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเพื่อให้ดวงตากลับมามองเห็นชัดเจนเช่นเดิม
การป้องกันอาการตาพร่ามัว
ทางที่ดีที่สุดสำหรับอาการทางตาก็คือ การป้องกัน เพราะฉะนั้นควรทำตามข้อดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
- ระวังการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด
- ใช้สายตาให้เหมาะสม ไม่จ้องมองวัตถุในที่มีแสงสว่างจ้า หรือมืดเกินไป
- รับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองด้วย
หมั่นสังเกตสุขภาพของดวงตาอยู่เสมอ หากพบว่ามีความผิดปกติควรรีบแก้ไขอย่าชะล่าใจว่า เดี๋ยวก็หาย คุณควรเริ่มจากการพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อหาวิธีแก้ไขอย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพตา เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android