อาหารที่มนุษย์บริโภค เมื่อถูกย่อยลงจนถึงที่สุด ก็จะเป็นสารชีวเคมีในระดับโมเลกุลขนาดเล็กที่สุดซึ่งตับจะส่งเข้าสู่กระแสเลือด โดยอาศัยหลอดเลือดเป็นทางลำเลียงไปส่งเซลล์เป้าหมายใช้ประโยชน์ต่อไป
สารชีวเคมีจากอาหารประเภทน้ำตาลและสารพิเศษเหล่านี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- ถ้ามีน้อยไป เซลล์เป้าหมายไม่พอใช้ หรือขาดแคลน ก็จะเกิดสภาวะผิดปกติ
- ถ้ามีมากเกินไปเซลล์เป้าหมายนอกจากจะมีสภาวะผิดปกติแล้ว ยังอาจมีผลกระทบต่อหลอดเลือด ในฐานะคล้ายกับเป็น “ขยะ” กองสุมกันกีดขวางเส้นทางทำให้หลอดเลือดอุดตัน
การตรวจสารชีวเคมีจากเลือด ก็เปรียบเสมือนตรวจสินค้าในโบกี้ขบวนรถไฟ ซึ่งง่ายต่อการ “ดัก” ตรวจ ดีกว่าไปตรวจที่อื่น
FBS
วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจหาค่าระดับน้ำตาลในกระแสเลือด (เมื่องดอาหารมาแล้ว 8 ชั่วโมง) หากเอ่ยอย่างภาษาชาวบ้านที่เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เรียกการตรวจ FBS นั้นเป็น “การตรวจหาเบาหวาน” หรือ ตรวจหาน้ำตาลในเลือด
คำอธิบายอย่างสรุป
- FBS ย่อมาจากคำว่า “Fasting Blood Sugar”
- Fasting แปลว่า ขณะกำลังอดอาหาร
- Fasting Blood Sugar จึงแปลได้ว่า ค่าระดับน้ำตาลในเลือดขณะกำลังอดอาหาร
- ศัพท์ในทางวิชาการจะเรียกว่า “Fasting Plasma Glucose” เรียกย่อๆว่า FPG ฉะนั้น FPG ก็คือค่าเดียวกันกับ FBS
- น้ำตาลในเลือดที่กำลังเอ่ยถึงนี้มีชื่อเรียกเป็นการเฉพาะว่า กลูโคสนับเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่พร้อมให้ร่างกายน้ำไปใช้เผาผลาญเป็นพลังงานเพื่อให้เซลล์ทุกเซลล์สามารถทำงานไปตามหน้าที่ เช่น เซลล์สมองก็มีความคิดความจำแจ่มใส เซลล์กล้ามเนื้อก็มีกำลังวังชา ฯลฯ
ระดับ “กลูโคส” ที่มีในเส้นเลือดนี้จึงจำเป็นต้องมีแต่เพียงให้พอดีๆ ต้องไม่มากและไม่น้อยเกินไป น้อยไป ก็ไม่พอใช้ อาจหน้ามืด หมดแรง มากไป ก็ทำให้เลือดข้น เป็นต้นเหตุอย่างหนึ่งให้หลอดเลือดอุดตัน
- กลูโคสในเลือดนั้นได้มาจากอาหารที่คนเรากินเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออาหารซึ่งให้พลังงาน 3 ประเภท คือ
- อาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ขนม น้ำตาล แอลกอฮอล์ ฯลฯ ทุกอย่างจะเตรียมเป็นกลูโคสได้สูงที่สุด
- อาหารไขมัน เช่น น้ำมันพืช กะทิ นม เนย (ทั้งแท้และเทียม) ไขมันจากสัตว์ (ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่) ผลสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นกลูโคสได้จำนวนหนึ่ง
- อาหารโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว นม ไข่ ก็เปลี่ยนเป็นกลูโคสได้แต่ด้วยอัตราที่น้อยกว่าสองประเภทแรก
อย่างไรก็ตาม อาหารคาร์โบไฮเดรต (ข้อก) จะผลิตกลูโคสได้อย่างรวดเร็วในปริมาณที่มากจนน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญก่อให้เกิดโรคเบาหวานฉะนั้นผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลในเลือดจึงต้อง ลด หรือ งด อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอย่างจริงจัง
- โดยเหตุผลในข้อที่ผ่านมา ย่อมทำให้ระดับกลูโคสในเลือดจะพุ่งกระโจนสูงขึ้นทันทีภายหลังอิ่มอาหารแต่ละมื้อแต่ในร่างกายของคนที่มีสุขภาพปกติจะมีฮอร์โมน “อินซูลิน” (insulin) จากตับอ่อนเอามาช่วยควบคุมระดับกลูโคสโดยรีบนำพากลูโคสไปส่งให้เซลล์ต่างๆช่วยเผาผลาญนั่นคือช่วยรักษาปริมาณกลูโคสในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือระดับปกติเสมอ
- ผู้ที่มีอินซูลินบกพร่อง ย่อมมีผลทำให้ระดับกลูโคสสูงอยู่ตลอดเวลาเกิดสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งอาจเกิดอันตรายร้ายแรงที่ทำให้เกิด อัมพฤกษ์ หัวใจวาย ตาบอด ถูกตัดขา
ค่าปกติของ FBS
- ให้ยึดถือตามข้าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
- ค่าปกติทั่วไป
ข้อบ่งชี้สภาวะ |
ค่าน้ำตาลในเลือด |
ปกติ |
<110 |
ว่าที่เบาหวาน หรือ การทนน้ำตาลบกพร่อง (impaired glucose tolerance) |
110 – 125
|
สงสัยว่า เป็นโรคเบาหวาน |
>126 |
ข้อบ่งชี้สภาวะวิกฤต |
ค่าน้ำตาลในเลือด (mg/dL) |
ชาย |
<50 หรือ >400 |
หญิง |
<40 หรือ >400 |
3. ค่าพึงประสงค์ FBS : < 110 mg/dL
ค่าผิดปกติ
- ในทางน้อย (hypoglycemia) อาจแสดงผลว่า
- อาจเกิดสภาวะ Insulinoma อันเป็นความผิดปกติที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่ตามปกตินั้นตับอ่อนจะผลิตอินซูลินได้ก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นจากกลูโคสเท่านั้นฉะนั้นเมื่อมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดมากเกินควรจึงย่อมทำให้กลูโคสในกระแสเลือดต้องลดต่ำกว่าปกติที่ควรจะเป็นโดยไม่สมควร
- อาจเกิดสภาวะ Hypothyroidism หรือต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเกินไปโดยเหตุผลว่าฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทในการควบคุมการเผาผลาญกลูโคส แต่การที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยมันจึงปล่อยฮอร์โมนออกมาน้อยเพราะในการควบคุมจึงทำให้การเผาผลาญกลูโคสเกินขอบเขต ในการนี้ย่อมมีผลทำให้กลูโคสในกระแสเลือดมีระดับต่ำอยู่ตลอดเวลา
- อาจเกิดโรคตับอย่างใดอย่างหนึ่งเนื่องจากตับเป็นอวัยวะผู้ส่งกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดแต่เมื่อตับทำหน้าที่ไม่ครบถ้วนจึงอาจส่งกลูโคสให้กับเลือดน้อยกว่าที่ควรกระทำ
- ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ให้ (หรือฉีด) อินซูลิน (ทีม) เกินขนาดย่อมมีผลทำให้กลูโคสในเลือดอาจต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ
- การอดอาหารในกลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องโดยวิธีการอดอาหารหรือโดยลัทธิความเชื่อ เช่น โยคี ที่งดอาหารได้หลายๆ วันยังมีผลทำให้กลูโคสในเลือดมีระดับต่ำลง
- ในทางมาก (hyperglycemia) อาจแสดงผลว่า
- กำลังเป็นโรคเบาหวาน
- อาจเกิดความเครียดฉับพลัน
- อาจกำลังเกิดโรคไตวายเรื้อรัง
- อาจเกิดสภาวะ “glucagonoma” ที่ตับอ่อนหลังฮอร์โมน glucagon ออกมาได้เองอัตโนมัติทั้งๆที่ฮอร์โมนตัวนี้ตามปกติจะหลั่งออกมาในกรณีที่กระแสเลือดมีกลูโคสอยู่ในระดับต่ำ เพื่อว่าที่จะได้ไปดึงกลูโคสที่เก็บไว้ออกมาใช้เท่านั้น แต่กลูคากอนถูกหลั่งออกมาเองอย่างไร้การควบคุมมันจึงไปดึงกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดอย่างไร้การควบคุมไปด้วย ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดจึงสูงตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุผล
- อาจเกิดโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน (acute pancreatitis) ทำให้ ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนกูคากรไม่ได้มันจึงทะลักเข้าสู่หลอดเลือดจนเกิดสภาวะเช่นเดียวกับข้อง. (ที่ผ่านมา)
- การกินยารักษาโรคความดันเลือดสูงชนิดขับปัสสาวะ (diuretic therapy)ก็อาจทำให้ร่างกายมีกลูโคสในเลือดเข้มข้นขึ้น
FPG
วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจหาค่าระดับน้ำตาล (กลูโคส) ในกระแสเลือด
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- FPG ย่อมาจากคำว่า “Fasting Plasma Glucose” ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “Fasting Blood Sugar” หรือ FBS ซึ่งเพิ่งกล่าวถึงในข้อที่ผ่านมา
- สรุปแล้ว ค่า FPG ก็คือ FBS ทุกประการ เพียงแต่เรียกชื่อต่างกันเท่านั้น
BUN
วัตถุประสงค์
เพื่อตรวจอย่างหยาบๆ ให้ทราบสภาวะการทำงานของไต และการกรองของกรวยไต รวมทั้งการทำหน้าที่ของตับ
คำอธิบายอย่างสรุป
- BUN ย่อมาจากคำว่า “Blood Urea Nitrogen” ซึ่งมีความหมายว่าไนโตรเจนจากสารยูเรียที่มีในกระแสเลือด
- ยูเรีย (Urea) เป็นสารประกอบของของเสียอันเป็นผลิตผลสุดท้ายจากการย่อยสลายโปรตีนโดยตัดทั้งนี้ ในชั้นต้นสาร ของเสียจะอยู่ในรูปของแอมโมเนีย (NH3) และต่อจากแอมโมเนียจึงสร้างเป็นสารยูเรีย (Urea) เพื่อให้ไปสามารถขับออกมาได้กับน้ำปัสสาวะ (urine)โดยเหตุนี้น้ำปัสสาวะจึงเน้นตลลไปด้วยกลิ่นแอมโมเนีย ฉะนั้นใครยิ่งกินเนื้อสัตว์มาก น้ำปัสสาวะก็จะยิ่งเหม็นมาก ! (ซึ่งหมายถึงว่าไปก็ต้องทำงาน หนักมากขึ้นด้วย ! )
- แต่หากไปของใครทำหน้าที่เริ่มจะบกพร่องหรือทำงานหนักมาช้านานจนสู้ไม่ไหว (พอกินแต่เนื้อสัตว์มายังไม่ยับยั้ง) คราวนี้ก็ย่อมจะเหลือสารยูเรียและไนโตรเจน (อันเป็นส่วนประกอบของแอมโมเนีย NH3) จำนวนมากข้างค้างรออยู่ในกระแสเลือดจนตรวจค่า BUN พบได้ว่ามีระดับสูงผิดปกติคนที่มีค่า BUN สูงจะมีศัพท์เรียกเป็นการเฉพาะว่า “Azotemia”
- ท่านผู้ใดถูกคุณหมอระบุว่ามีสภาวะ Azotemia ก็โปรดเข้าใจว่าตัวท่านกำลังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับไต แต่ปัญหาแท้จริงอาจจะไม่ใช่ที่ไปก็ได้โดยแบ่งพิจารณาดังนี้
- หากค่า BUN สูงขึ้นเพราะเหตุใดๆ ก่อนเลือดจะถูกกรองที่ไปก็จะถูกเรียกว่า “Prernal azotemia”
- หากค่า BUN สูงขึ้น เพราะเหตุใดๆ เมื่อเลือดถูกกรองที่ไตแล้ว แต่ “urea nitrogen” ถูกปิดกั้นมิให้ปล่อยทิ้งออกมาเป็นปัสสาวะได้ตามปกติ จึงทำให้ค่า BUN สูงค่าขึ้น สภาวะอย่างนี้จะถูกเรียกว่า “Postrenal azotemia”
ทั้งข้อ 1 และ 2 มีเหตุปัจจัยกว้างขวาง สมควรให้แพทย์ท่านชี้แจงและแก้ไขให้ต่อไป ในที่นี้จะขอกล่าวถึง เฉพาะแต่ค่า BUN ที่สูง/ต่ำ โดยทั่วไปให้ตรงตามหัวข้อที่ขึ้นต้นไว้ตามแบบฟอร์มเท่านั้น
ค่าปกติของ BUN
- ให้ยึดถือตามข้าที่ระบุไว้ในใบรายงานแสดงผลเลือด (ถ้ามี)
- ค่าปกติทั่วไป
ผู้ใหญ่ = BUN : 10 - 20 mg/dL
เด็ก = BUN : 5 - 18 mg/dL
ค่าปกติ
- ในทางน้อย อาจเสดงผลว่า
- อาจกินอาหารโปรตีนต่ำเกินไป
- ร่างกายอาจมีปัญหาการดูดซึมสารอาหาร
- อาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคตับ
- ในทางมากอาจแสดงผลว่า
- อาจกินอาหารโปรตีนล้นเกิน
- อาจมีปัญหาสำคัญหรือโรคเกี่ยวกับไตจึงทำให้ขับทิ้งยูเรียไนโตรเจน (urea nitrogen)ออกไปทางปัสสาวะ ไม่ได้ หรือ ไม่หมด จนมีผลต่อเนื่องทำให้ BUN หรือยูเรียไนโตรเจนคั่งค้างอยู่ในเลือดมีระดับสูงขึ้น
- อาจเกิดจากการกินยาบางตัว
- อาจดื่มน้ำน้อยเกินไป
- อาจเกิดมีการตกเลือดในช่องทางเดินอาหาร
- อาจออกกำลังกายหักโหมจนเกินไป
- ตับอ่อนอาจหลั่งเอนไซม์ย่อยอาหารบกพร่อง ทำให้เหลือของเสียรวมทั้งสารยูเรียไนโตรเจนมากกว่าปกติ
ข้อความสังเกต
- BUN มิใช่ค่าปัจจัยชี้ขาดที่แสดงความสมบูรณ์ของไต แต่ก็เป็นปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งซึ่งจำเป็นที่จะใช้ช่วยบ่งชี้ร่วมกับผลการตรวจเลือดตัวอื่นเช่นในข้อต่อไปอีก 2 ข้อ
- Creatinine จะให้ผลการตรวจไปที่ค่อนข้างแม่นยำมากกว่า
- Creatinine clearance คือความสามารถในการกรองของเสียของไปที่ยังเหลืออยู่ซึ่งจะแสดงความสมบูรณ์ของไตชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในแบบฟอร์มตรวจเลือดไม่ได้ระบุการตรวจ Creatinine clearance ไว้เนื่องจากมิใช่เป็นหัวข้อการเจาะเลือดตรวจตามปกติแต่ถึงอย่างไรหากท่านผู้อ่านจะได้กรุณาจำชื่อไว้ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อการไปตรวจเลือดเองหรืออาจใช้สื่อสารทำความเข้าใจกับแพทย์ที่ทำการตรวจรักษากับท่านต่อไปก็ได้
หากคุณเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์และอยากอ่านเกี่ยวกับหัวข้อนี้เพิ่มเติม สามารถสนับสนุนผู้แต่ง (พลเอกประสาร เปรมะสกุล) ได้โดยการซื้อหนังสือ (คู่มือแปลผลการตรวจเลือด)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท