“ยากันชัก” รักษาไบโพลาร์

ไบโพลาร์ กินยารักษาได้ อ่านยารักษาที่ถูกวิธีในการรักษาไบโพลาร์
เผยแพร่ครั้งแรก 3 ต.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 27 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 4 นาที
“ยากันชัก” รักษาไบโพลาร์

หากคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ ซึ่งเป็นโรคที่ส่งผลให้มีช่วงอารมณ์ดีมากผิดปกติหรือมีช่วงอารมณ์ซึมเศร้าสลับกัน การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่มีประสิทธิภาพ การรักษาด้วยยาถือเป็นวิธีรักษาสำคัญที่จะช่วยให้คุณควบคุมอาการของโรคนี้ได้

เป็นที่รู้กันดีในวงการแพทย์ว่ายากันชักหลายชนิดสามารถนำมาใช้เป็นยาปรับอารมณ์ในผู้ป่วยที่เป็นไบโพลาร์ได้ โดยแรกเริ่มยานี้ใช้รักษาผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาลิเทียม (Lithium) เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้มีการใช้ยานี้ในผู้ป่วยไบโพลาร์อย่างหลากหลาย ทั้งใช้เพียงลำพังและใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

โรคไบโพลาร์ รักษานานแค่ไหน ?

การรักษาผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ แบ่งเป็นระยะหลักๆ ดังต่อไปนี้

  • การรักษาระยะเฉียบพลัน เป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการและควบคุมอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งมักอยู่ในช่วง 3-8 สัปดาห์ หลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มรักษา
  • การรักษาระยะต่อเนื่อง หลังจากอาการดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยบางรายอาจจะยังมีอาการให้เห็นอยู่บ้าง ในระยะนี้แพทย์จะให้ยาเดิมที่ผู้ป่วยได้รับในระยะเฉียบพลันต่อไป หรืออาจปรับลดขนาดยาลงเพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา แต่ให้ปริมาณยายังอยู่ในระดับที่ช่วยควบคุมและบรรเทาอาการของผู้ป่วยได้ การรักษาช่วงนี้ใช้เวลานาน 2-6 เดือน โดยมีเป้าหมายของการรักษาคือต้องการให้ให้ผู้ป่วยหายขาด และป้องกันการกลับไปมีอาการกำเริบซ้ำในภายหลัง
  • การป้องกันระยะยาว เป็นการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดอาการในครั้งต่อไป และช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด ซึ่งระยะเวลาในการให้ยาสำหรับป้องกันจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความถี่ในการกำเริบของโรคแต่ละครั้ง ในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและมีอาการกำเริบบ่อยๆ อาจต้องกินยารักษาโรคไบโพลาร์ไปตลอดชีวิต

ยาลิเทียม เป็นยาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคอารมณ์สองขั้วจริงหรือ

Lithium (ลิเทียม) จัดเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอารมณ์สองขั้วทั้งในระยะเฉียบพลัน ระยะรักษาต่อเนื่อง และการป้องกันระยะยาว หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง แพทย์อาจให้ยานี้ร่วมกับยารักษาโรคจิตเภท หรือให้ใช้ร่วมกับยากันชัก แต่ในกรณีที่อาการของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาลิเทียม ตัวยาทำให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรง หรือทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ แพทย์อาจหันไปใช้ยากันชักแทน ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกในการรักษาโรคไบโพลาร์ที่ให้ผลดีไม่แพ้ยาลิเทียม

ลักษณะผู้ป่วยที่อาจไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาลิเทียมเพียงอย่างเดียว ได้แก่

  • มีอาการช่วงอารมณ์ดีร่วมกับอาการช่วงซึมเศร้า
  • มีอาการช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) อย่างรุนแรง
  • มีอาการอารมณ์ดีสลับอารมณ์ซึมเศร้ารวมแล้วมากกว่า 4 รอบต่อปี
  • มีอาการมามากกว่า 3 ครั้งก่อนการรักษา
  • มีอาการโรคจิตร่วมด้วย
  • มีประวัติการใช้สารเสพติด
  • มีประวัติได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ

ยากันชักแต่ละชนิดรักษาโรคไบโพลาร์ได้อย่างไรบ้าง

ยากันชักออกฤทธิ์โดยช่วยให้การทำงานของสมองเป็นไปอย่างปกติขึ้น ยานี้จึงใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมองหลายๆ โรค เช่น รักษาโรคลมชัก และป้องกันโรคไมเกรน รวมไปถึงโรคไบโพลาร์ 

ยากันชักชนิดต่างๆ ที่นำมาใช้รักษาโรคไบโพลาร์สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • ยากันชักกลุ่มแรก ได้แก่ คาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) กรดวาลโปรอิก (Valproic acid) และยาอนุพันธ์
  • ยากันชักกลุ่มใหม่ ได้แก่ ลาโมไตรจีน (Lamotrigine) โทพิราเมท (Topiramateกาบาเพนติน (Gabapentin)

ตัวอย่างยากันชักที่มีใช้รักษาโรคไบโพลาร์มีดังต่อไปนี้

  • คาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) นำมาใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบแบบภาวะอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania) ที่ไม่ตอบสนองต่อยาลิเทียมหรือยากันชักวาลโปรอิก หรือไม่สามารถใช้ยากลุ่มข้างต้นได้ ซึ่งยานี้อาจใช้เป็นยาเดี่ยว กรณีอาการที่เกิดขึ้นไม่รุนแรง หรือที่เรียกว่าอาการมาเนียแบบอ่อน (Hypomania) ผู้ป่วยมีอาการกำเริบแบบมาเนียรุนแรง อาการกำเริบแบบมาเนียที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย หรืออาการกำเริบที่มากกว่า 4 ครั้งต่อปี นอกจากนี้ยังนำมาใช้ป้องกันการกำเริบของโรคในระยะยาวได้เช่นกัน ยาคาร์บามาซีปีนสามารถใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น เช่น ลิเทียม ยากันชักตัวอื่น หรือยารักษาโรคจิตเภทกลุ่มใหม่ได้ 
  • กรดวาลโปรอิก (Valproic acid) และอนุพันธ์ ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบแบบมาเนียที่ไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงจากการใช้ยาลิเทียมได้ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาลิเทียมและยาคาร์บามาซีปีน โดยอาจใช้เป็นยาขนานแรกในผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบแบบมาเนียซึ่งมีอาการกำเริบบ่อยมากกว่า 4 ครั้งต่อปี อาการแบบมาเนียที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย อาการมาเนียที่มีความผิดปกติของระบบเส้นประสาท และนำมาใช้ป้องกันการกำเริบของโรคในระยะยาวได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบบ่อยมากกว่า 4 ครั้งต่อปี หรือผู้ที่มีอาการแบบมาเนียเกิดขึ้นพร้อมกับอาการซึมเศร้า
  • ลาโมไตรจีน (Lamotrigine) ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยาปรับอารมณ์ตัวอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการในระยะซึมเศร้ากำเริบ โดยพบว่ายานี้มีอัตราการตอบสนองต่อการรักษาประมาณร้อยละ 51-72  ส่วนผลในการรักษาโรคไบโพลาร์รูปแบบอื่นๆ นั้น ปรากฎว่าไม่ดีเท่ากับยากันชักชนิดอื่น
  • โทพิราเมท (Topiramate) ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาลิเทียม หรือมีอาการข้างเคียงจากใช้ยากันชักตัวอื่นๆ โดยอาจให้ยานี้อย่างเดียวหรือใช้ร่วมกับยาปรับสภาวะอารมณ์ชนิดอื่นก็ได้ ผลการศึกษาพบว่ายาโทพิราเมทใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยโรคอารมณ์สองขั้วที่มีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย
  • กาบาเพนติน (Gabapentin) ใช้รักษาผู้ป่วยโรคอารมณ์สองขั้วที่ไม่ตอบสนองการรักษา ทั้งผู้ป่วยที่มีอาการแบบมาเนียและอาการซึมเศร้า โดยจะให้ใช้ร่วมกับยาชนิดเดิมที่ใช้อยู่ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในระยะหลังพบว่าการใช้ยานี้ไม่ค่อยได้ผลดี จึงแนะนำให้เลือกใช้เป็นยาชนิดสุดท้ายร่วมกับยาปรับสภาวะอารมณ์ตัวอื่นๆ

เพื่อการรักษาที่ได้ผลดีและปลอดภัย คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งการรักษาจะทำควบคู่ไปกับการให้ความรู้กับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรค ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค การดำเนินของโรค การรักษา รวมถึงการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งจะช่วยให้ครอบครัวเข้าใจและมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น รวมถึงช่วยลดปัญหาเรื่องวินัยในการรับประทานยาของผู้ป่วยด้วย


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Joseph Goldberg, Anticonvulsant Medications for Bipolar Disorder (www.webmd.com/bipolar-disorder/guide/anticonvulsant-medication), 23 September, 2016.
Grunze, H. et al. (1999). Anticonvulsant drugs in bipolar disorder. Dialogues in clinical neuroscience, 1(1), 24-40.
Amann B, Grunze H. Expert Rev Neurother. (2003) The evolution of antiepileptic drugs for mood stabilization and their main mechanisms of action. Jan; 3(1):107-18.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป