กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

ทำความรู้จักกับ "ไบโพลาร์" โรคอารมณ์สองขั้ว

อารมณ์สองขั้วที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างชัดเจน มีแบบเศร้าและแบบอาการพลุ่งพล่าน
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2017 อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 2020 ตรวจสอบความถูกต้อง 27 มี.ค. 2019 เวลาอ่านประมาณ 8 นาที
ทำความรู้จักกับ "ไบโพลาร์" โรคอารมณ์สองขั้ว

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • โรคไบโพลาร์ คือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วที่ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้าอยู่ในช่วงหนึ่ง และจะอารมณ์ดีผิดปกติ ในอีกช่วงหนึ่งสลับกันไป 
  • สาเหตุของโรคไบโพลาร์สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ความผิดปกติของสื่อประสาทในสมอง ฮอร์โมน การพักพ่อนไม่เพียงพอ การใช้สารเสพติด เจอกับปัญหาในชีวิต และโรคอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบ
  • สามารถรักษาได้โดยการใช้ยา ซึ่งต้องอาศัยคำปรึกษาจากจิตแพทย์ โดยยาจะแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดคือ ยาปรับอารมณ์ (Mood Stabilizers) ยาต้านโรคจิต (Antipsychotics) ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) ยาคลายกังวล (Anxiety Medications) 
  • อีกวิธีที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการทำจิตบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) โดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยหาว่า อะไรเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคไบโพลาร์ จากนั้นจะช่วยหาแนวทางแก้ไข
  • ดูแพ็กเกจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ที่นี่

ความหมายของโรคไบโพลาร์

โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) คือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วที่ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ซึมเศร้า (Major depressive episode) อยู่ในช่วงหนึ่ง และจะอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania) ในอีกช่วงหนึ่งสลับกันไป โรคนี้ถือเป็นความผิดปกทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นโรคนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวผู้ป่วยเองจนไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ

ชนิดของโรคไบโพลาร์

ชนิดของโรคไบโพลาร์จะแบ่งแยกตามอาการและความรุนแรงของโรค โดยจะแบ่งออกได้ 3 ชนิด ต่อไปนี้

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • โรคไบโพลาร์ชนิดที่ 1 (Bipolar I) เป็นโรคไบโพลาร์ชนิดที่รุนแรงที่สุด โดยผู้ป่วยจะมีอารมณ์ดีผิดปกติและซึมเศร้าอย่างน้อย 1 ครั้งทุกวัน และจะเป็นยาวนานติดต่อกันมากกว่า 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ อาการอารมณ์ดีผิดปกติของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ชนิดนี้ยังรุนแรงกว่าผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ชนิดที่ 2 มาก
  • โรคไบโพลาร์ชนิดที่ 2 (Bipolar II) เป็นชนิดของโรคไบโพลาร์ที่มักตรวจพบในผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคซึมเศร้ามาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง ร่วมกับมีอาการอารมณ์ดีผิดปกติอย่างอ่อนอย่างน้อย 1 ครั้ง และผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ชนิดนี้ยังมีช่วงอารมณ์ที่ผิดปกติคั่นกลางระหว่างช่วงอารมณ์ดี กับช่วงอารมณ์ซึมเศร้าด้วย
  • โรคไบโพลาร์ชนิดอ่อน (Cyclothymia) สามารถเรียกได้อีกชื่อว่า "โรคไซโคลไทมิก (Cyclothymic disorder)" เป็นโรคไบโพลาร์ที่ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงแบบอ่อนๆ ไม่รุนแรงมาก

สาเหตุของโรคไบโพลาร์

สาเหตุของโรคไบโพลาร์สามารถแบ่งออกได้หลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

  • ปัจจัยทางชีวภาพ เช่น
    • ความผิดปกติของสื่อประสาทในสมอง
    • ความผิดปกติของระบบฮอร์โมนในร่างกาย
    • ความผิดปกติเกี่ยวกับการนอนหลับ
    • การทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ผิดปกติ
  • ปัจจัยทางสังคมและสภาพแวดล้อม ซึ่งปัจจัยนี้อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่ก็เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคไบโพลาร์ได้ เช่น
    • การบริโภคแอลกอฮอล์และเสพยาเสพติด
    • ผู้ป่วยไม่สามรถปรับตัวเพื่อรับมือกับความเครียดหรือปัญหาในชีวิตได้
    • การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในชีวิตหรือเหตุการณ์ร้ายแรง
    • ปัจจัยทางพันธุกรรม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า โรคไบโพลาร์สามารถถ่ายทอดถึงกันทางพันธุกรรมได้ แต่ก็มีผู้ป่วยโรคนี้เป็นจำนวนมากที่คนในครอบครัว หรือผู้ใกล้ชิดทางสายเลือดเคยเป็นโรคไบโพลาร์มาก่อน
  • ปัจจัยจากโรคทางกาย สำหรับโรคที่ทำให้ลุกลามเกิดเป็นโรคไบโพลาร์ได้ จะได้แก่
    • โรคลมชัก
    • โรคหลอดเลือดสมอง
    • โรคไมเกรน
    • โรคเนื้องอกในสมอง
    • อาการเจ็บที่ศีรษะ
    • โรคที่ติดเชื้อ
    • การรับประทานยาบางชนิด

อาการของโรคไบโพลาร์

อาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์โดยหลักๆ คือ จะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างคาดเดาไม่ได้ และลักษณะอารมณ์ของผู้ป่วยจะแบ่งเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ

1. อาการในช่วงอารมณ์ซึมเศร้า (Depressive Episode)

ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะมีอาการในช่วงอารมณ์ซึมเศร้าอย่างน้อย 5 ขึ้นไป และจะเป็นอยู่เกือบตลอดเวลา ติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์

  • มีอารมณ์ซึมเศร้า เบื่อหน่าย ท้อแท้กับชีวิต

  • ความสนใจเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันลดลง รวมไปถึงแรงจูงใจในการทำงานอดิเรกที่ชอบ

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลดหรือเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน

  • นอนไม่หลับ นอนหลับยาก หลับไม่สนิท หรือนอนแล้วตื่นเร็วกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการนอนมากเกินไป ต้องการนอนทั้งวัน หรือนอนกลางวันมากเกินไปด้วย

  • กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข หรือทำอะไรเชื่องช้าลง

  • อ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง

  • รู้สึกว่าตนไร้ค่า สิ้นหวังกับชีวิต มองสิ่งรอบตัวในแง่ลบไปหมด

  • สมาธิและความจำแย่ลง

  • อยากฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง

2. อาการในช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ (Mania หรือ Hypomania)

สำหรับผู้ป่วยที่อารมณ์ดีผิดปกติจะมีอาการร่าเริง มีความสุข เบิกบานใจมากเกินกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอารมณ์หงุดหงิดง่ายด้วย โดยระยะของอาการจะต้องเป็นติดต่อกันทุกวันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และต้องมีอาการมากกว่า 4 อาการขึ้นไป 

คุณสามารถสังเกตอาการในช่วงอารมณ์ดีผิดปกติได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปดังนี้

  • มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เชื่อมั่นว่าตนเองมีความสามารถมากเกินไป หรือคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ มีอำนาจและยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น

  • นอนน้อยผิดปกติ รวมถึงมีความต้องการในการนอนลดลงด้วย เช่น นอนหลับแค่ 3 ชั่วโมงเพียงพอแล้ว

  • ความคิดแล่นเร็ว หรือคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกัน หรือชอบเสนอแผนการหลายอย่างมากมายออกมา

  • พูดเร็วขึ้นและขัดจังหวะได้ยากด้วย ยิ่งหากอาการรุนแรง ก็จะพูดเสียงดังและเร็วขึ้นจนยากที่จะเข้าใจ

  • ไม่ค่อยมีสมาธิ วอกแวกง่าย ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้

  • เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ ต้องการทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

  • ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตนเองได้ เช่น ดื่มสุรามาก โทรศัพท์ทางไกลนานๆ ติดการเล่นพนันหรือชอบเสี่ยงโชคเกินตัว

สำหรับอาการที่กล่าวมาในข้างต้น หากมองผ่านๆ ก็อาจดูเหมือนเป็นพฤติกรรมคึกคะนองธรรมดาทั่วไป หรือเป็นพฤติกรรมของผู้ที่กระตือรือร้นและมีความมั่นใจสูงเท่านั้น ดังนั้นคุณจะสามารถนับอาการเหล่านี้ว่าเป็นความผิดปกติของโรคไบพลาร์ได้ก็ต่อเมื่อ...

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!

  • ผู้ป่วยมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนและกะทันหัน

  • อารมณ์ที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงสูงจนกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

  • ผู้ป่วยจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น

  • อาการที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากการบริโภคแอลกอฮอล์ ยาเสพติด ยารักษาโรคที่ใช้ประจำ และภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ

ส่วนอาการไฮโปมาเนีย (Hypomania) ซึ่งจัดอยู่ในอาการของช่วงอารมณ์ดีผิดปกติเช่นกันนั้น เป็นอาการที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมาก และระยะของอาการก็จะสั้นกว่า

อาการของโรคไบโพลาร์ในเด็ก

อาการของโรคไบโพลาร์ในเด็กและวัยรุ่นจะเหมือนกับผู้ใหญ่ไม่ต่างกัน แต่จะยากตรงที่การวินิจฉัยอาการ เพราะเด็กและวัยรุ่นส่วนมากยังไม่สามารถแยกอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงจากความเครียด หรือเหตุการณ์ร้ายแรงได้อย่างแน่ชัดเหมือนผู้ใหญ่ ทำให้หลายๆ ครั้ง เด็กที่เป็นโรคไบโพลาร์จะได้รับการวินิจฉัยที่ผิดอยู่บ่อย

ทางที่ดี หากคุณมีเด็กๆ ในครอบครัวที่แสดงอารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ หรือผิดปกติได้จากเดิม ให้ลองปรึกษาแพทย์ จิตแพทย์เด็ก หรือกุมารแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการต่อไป

ผลกระทบของโรคไบโพลาร์ต่อชีวิตประจำวัน

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา โรคไบโพลาร์ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้ เช่น

  • การติดสุราและยาเสพติด

  • เกิดความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าจนอยากฆ่าตัวตาย

  • ก่ออาชญากรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ

  • เกิดปัญหาด้านการเงิน

  • เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์ของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่หรือกับคนรอบข้าง

  • ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการทำงาน

  • ไม่สามารถควบคุมความต้องการทางเพศได้ หรือมีพฤติกรรมหมกมุ่นทางเพศมากเกินไป

การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์

เนื่องจากสาเหตุของโรคไบโพลาร์ยังไม่เป็นที่ทราบกันอย่างแน่ชัด ดังนั้นการวินิจฉัยจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่ หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจมีอาการของโรคไบโพลาร์ คุณควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยหรือรับการทดสอบดังต่อไปนี้

  • ตรวจร่างกายเบื้องต้น

  • ตรวจเลือด แอลกอฮอล์ สารเสพติดอื่นๆ เพื่อหาสาเหตุที่อาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการคล้ายโรคไบโพลาร์

  • การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging) เป็นการสแกนเพื่อหาความผิดปกติในโครงสร้างสมอง หรือสารสื่อประสาทภายในสมองที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคไบโพลาร์ หรือเพื่อหาโรคอื่นๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการ

  • ตรวจคลื่นหัวใจ ซึ่งนอกจากจะเพื่อการวินิจฉัยแล้ว ยังไว้สำหรับการจัดยาเพื่อรักษาโรคไบโพลาร์ด้วย เนื่องจากมียาหลายชนิดที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ

  • การตรวจคลื่นสมอง

  • การตรวจทางจิตวิทยา โดยแพทย์จะถามเกี่ยวกับความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของผู้ป่วย รวมถึงอาจพูดคุยกับครอบครัว เพื่อนสนิทของผู้ป่วยด้วย แต่ทุกกระบวนการจะอยู่ภายใต้การยินยอมจากตัวผู้ป่วยเอง

  • บันทึกและติดตามอาการของผู้ป่วยเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

และนอกเหนือจากการวินิจฉัยข้างต้น แพทย์อาจให้คุณทำแบบสอบถามเพิ่มเติม เพื่อตรวจหาอาการของคุณให้แน่ชัดด้วย

แพ็กเกจที่คุณอาจสนใจ
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!

จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง

การรักษาโรคไบโพลาร์

วิธีการรักษาโรคไบโพลาร์จะแบ่งออกได้ 2 แบบด้วยกัน คือ การรักษาโดยรับประทานยา กับ การรักษาโดยทำจิตบำบัด

1. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการใช้ยา

ปริมาณและชนิดของยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคไบโพลาร์และอาการที่เกิดขึ้น โดยจะแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดคือ

  1. ยาปรับอารมณ์ (Mood Stabilizers) เป็นยาที่ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 ต้องรับประทานเพื่อควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะในช่วงอารมณ์ดีผิดปกติ เช่น คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) ลิเทียม (Lithium)

  2. ยาต้านโรคจิต (Antipsychotics) มักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการหลงผิด (Delusions) หรือประสาทหลอน (Hallucinations) ร่วมด้วย เช่น อะเซนาปีน (Asenapine) ฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) ควิไทอะปีน (Quetiapine) ริสเพอริโดน (Risperidone)

  3. ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เป็นที่ยาที่ใช้เพื่อปรับสมดุลของสารเคมีในสมองซึ่งทำงานเกี่ยวกับอารมณ์ แรงจูงใจและความอยากอาหาร เช่น เซอโรโทนิน (Serotonin) โดพามีน (Dopamine)

  4. ยาคลายกังวล (Anxiety Medications) เช่น ยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) ซึ่งเป็นยาคลายกังวลที่จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น

2. การรักษาโรคไบโพลาร์โดยการทำจิตบำบัด

นอกเหนือจากการใช้ยา แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้าร่วมการทำจิตบำบัด หรือรับคำปรึกษาในรูปแบบอื่นๆ เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกับโรคอย่างเหมาะสม และวิธีจิตบำบัดนี้ยังครอบคลุมการรักษาภาวะติดยา หรือภาวะติดแอลกอฮอล์ด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องยาเสพติด

สำหรับวิธีทำจิตบำบัดที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดก็คือ "การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)" ซึ่งในการทำ CBT จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาจะช่วยหาว่า อะไรเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้เกิดอาการของโรคไบโพลาร์ จากนั้นจะช่วยหาแนวทางแก้ไข และหาวิธีรับมือกับความเครียด พร้อมส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีกับผู้ป่วยเพื่อให้ควบคุมกับอาการของโรคได้

นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจแนะนำให้ครอบครัวของคุณเข้ารู้โปรแกรมการเรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ด้วย ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจโรคและอาการที่เป็นอยู่มากขึ้น 

ส่วนผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ที่เป็นเด็กนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ปกครองกำชับครูและบุคลากรที่โรงเรียนหรือที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจและมีส่วนร่วมในการรักษาด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยเด็กรู้สึกว่าตนเองได้รับความเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น และทำให้อาการของโรคหายดีเร็วยิ่งขึ้น

การดูแลตนเองและคำแนะนำสำหรับผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยเมื่อเป็นโรคไบโพลาร์

การหมั่นสังเกตอาการ และดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ป่วยให้แข็งแรง คือหัวใจหลักในการรักษาโรคไบโพลาร์ คุณหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้

วิธีดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์

  • หมั่นสังเกตอารมณ์ของตนเอง เมื่อรู้ตัวว่าอาการเริ่มรุนแรงขึ้นถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษา และอาจบอกคนใกล้ชิดให้ช่วยสังเกตอาการด้วย

  • ดูแลสุขภาพโดยรวมให้ดี เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมคลายเครียดและหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา และใช้สารเสพติด

  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และอย่าหยุดยาเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน

  • หมั่นไปพบจิตแพทย์ตามนัดเพื่อดูความคืบหน้าของอาการ

  • รับการบำบัดโดยการพูด หรือการบำบัดความคิดและพฤติกรรม เพื่อช่วยให้จัดการอารมณ์ของตนเองได้ 

  • หาผู้ที่เข้าใจ พร้อมจะให้กำลังใจ และพร้อมจะสนับสนุนให้คุณก้าวผ่านโรคนี้ไปได้ เพราะบางทีคนใกล้ตัวของคุณก้อาจไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แบบนี้ นอกจากนี้ การได้พูดคุยกับกลุ่มคนที่เป็นโรคไบโพลาร์เหมือนกันก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะพวกเขาจะเข้าใจว่าคุณต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง

วิธีดูแลผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ สำหรับญาติหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย

กำลังใจและการสนับสนุนจากคนใกล้ชิดมีความสำคัญต่ออาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์อย่างมาก หากคนในครอบครัวหรือคนใกล้ตัวของคุณป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ คุณสามารถดูแลผู้ป่วยตามแนวทางต่อไปนี้

  • เข้าใจว่าอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกตินั้นมาจากการเจ็บป่วย ไม่ใช่นิสัยของผู้ป่วยจริงๆ

  • ช่วยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์

  • สังเกตอารมณ์ของผู้ป่วยเพื่อให้เห็นความคืบหน้าของอาการและการรักษา

  • ช่วยผู้ป่วยควบคุมค่าใช้จ่าย และพฤติกรรมกรรมที่เสี่ยงอันตรายหรือการก่ออาชญากรรม

  • หมั่นพูดคุย ให้กำลังใจผู้ป่วย และเตือนสติเมื่อผู้ป่วยลืมตัวมีพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งรอบข้างและคนรอบตัว

  • เมื่อผู้ป่วยหายจากอาการไบโพลาร์แล้ว ควรให้กำลังใจและสนับสนุนให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจในการกลับไปเรียน หรือทำงานอีกครั้ง

โรคไบโพลาร์จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือส่งผลกระทบร้ายแรง หากผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหมั่นสังเกตอาการของโรคที่เกิดขึ้น และรีบรักษาให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว

นอกจากนี้ โรคไบโพลาร์ยังไม่ใช่โรคที่ควรนำมาใช้เป็นคำล้อเล่น หรือล้อเลียนผู้ที่มีพฤติกรรมอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เพราะโรคนี้ถือเป็นการเจ็บป่วยชนิดหนึ่ง เป็นอีกความยากของผู้ป่วยที่จะต้องต่อสู้กับภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติตนเองเพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 

ดังนั้นทุกคนจึงควรทำความเข้าใจ และไม่มองว่าโรคไบโพลาร์เป็นเพียงคำติดตลกหรือเป็นโรคที่น่ารังเกียจหรือน่ากลัวอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจผิดกัน

ดูแพ็กเกจปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เปรียบเทียบราคา โปรโมชันล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจเหล่านี้ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
โรคอารมณ์สองขั้ว (https://med.mahidol.ac.th/rama...)
Goodwin, Guy M. (2012). "Bipolar disorder". Medicine. 40 (11): 596–598. doi:10.1016/j.mpmed.2012.08.011.
Anderson IM, Haddad PM, Scott J (Dec 27, 2012). "Bipolar disorder". BMJ (Clinical Research Ed.). 345: e8508.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)