ตอนมีเพศสัมพันธ์กับแฟนใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งแต่รอบที่แล้วกังวลถุงยางรั่วจึงทานยาคุมฉุกเฉินแต่ประจำเดือนแฟนดันมาตอนกินไปแล้ว(มาวันที่19ตุลา)แล้วมีเพศสัมพันธ์กับแฟนอีกตอน9พฤศจิกา(ใส่ถุงยางอนามัย)แต่เดือนนี้ประจำเดือนแฟนไม่มาครับเลยซื้อที่ตรวจมาตรวจวันที่22พฤศจิกาช่วงเช้าตื่นนอนแต่ก็พบว่าขีดเดียวแต่ปัจุบันวันที่1ธันวาประจำเดือนแฟนยังไม่มาครับ ในช่วงเดือนนี้แฟนมีเรื่องเครียดตลอด แบบนี้ท้องมั้ยครับหรือผมกังวลไปเอง

ถ้าเลือดที่ออกมาในวันที่ 19 ตุลาคมเป็นประจำเดือนจริง ๆ เช่น มีปริมาณมากจนชุ่มผ้าอนามัย 2 - 3 แผ่น/วัน, มาต่อเนื่องกัน 3 - 7 วัน และมาตรงตามรอบปกติเดิม หรือคลาดเคลื่อนไม่มาก ก็หมายถึงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนหน้านั้น ซึ่งผู้ถามกังวลว่าถุงยางจะรั่ว ไม่ได้ทำให้แฟนตั้งครรภ์แล้วนะคะ

ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 9 พฤศจิกายน หากใช้ถุงยางถูกต้อง และตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด ก็มีโอกาสตั้งครรภ์เพียงแค่ 2% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนไม่น่าจะกังวลค่ะ

ถ้าไม่ตั้งครรภ์ ประจำเดือนของแฟนผู้ถามก็น่าจะมาตามรอบปกติเดิม ซึ่งหากที่ผ่านมามีประจำเดือนมาตรงเวลาสม่ำเสมอ รอบนี้ก็ควรจะตรงเวลาเช่นกันนะคะ แต่ถ้าที่ผ่านมาแฟนของผู้ถามมีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ในรอบนี้ก็อาจคลาดเคลื่อนได้มากตามที่เคยเป็นค่ะ

ซึ่งหากไม่มั่นใจ และกังวลว่าจะตั้งครรภ์ สามารถตรวจการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะซ้ำอีก ในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันได้นะคะ

และถ้าไม่มีประจำเดือนมาติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือถ้ามีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติอยู่เรื่อย ๆ ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริง และพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

สวัสดีค่ะ
ถ้าตอนที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก มั่นใจว่าเป็นประจำเดือน โอกาสตั้งครรภ์ค่อนข้างต่ำมากอยู่แล้ว และมีการรับประทานยาคุมฉุกเฉินภายใน120ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาน85-95%

สำหรับการมีเพศสัมพันธ์ครั้งที่2มีการใส่ถุงยางอนามัย ซึ่งสามารถป้องกันได้ประมาน 98%

การตรวจการตั้งครรภ์ว่าขึ้น1ขีด ตรวจหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย14วันขึ้นไป ค่อนข้างยืนยันค่ะว่าไม่น่าจะตั้งครรภ์ ถ้าเพื่อความแน่ใจ สามารถตรวจซ้ำอีกครั้งโดยเก็บปัสสาวะในตอนเช้า

แนะนำว่าควรหาสาเหตุเพิ่มเติมค่ะ สำหรับการที่ประจำเดือนมาผิดปกติ ได้แก่

-ภาวะเครียด
-ภาวะอ้วน
-ภาวะถุงน้ำรังไข่
-เนื้องอกในโพรงมดลูก

แนะนำว่าควรไปพบแพทย์นรีเวชเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งค่ะ