กินยาคุมกำเนิดแบบ28ครั้งแรกแต่ยังไม่หมดแผงถ้ากินหมดแผงสามารถเลิกกินได้ไหมถ้าเลิกกินจะมีโอกาสตั้งครรถ์ไหม

เมื่อหมดแผงยาคุม เราสามารถหยุดกินได้ครับถ้าเรา ถ้าเราจะไม่ต้องการคุมกำเนิดแล้ว เมื่อหยุดกินก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ครับ หรือ จะเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดก็สามารถหยุดทานได้เมื่อหมดแผงครับ

หากไม่ต้องการคุมกำเนิดต่อแล้ว สามารถหยุดใช้ได้เลยค่ะ แต่เพื่อให้ฮอร์โมนไม่แปรปรวนและประจำเดือนไม่คลาดเคลื่อน แนะนำให้ใช้ต่อไปจนกว่าจะหมดแผงหรือจนกว่าจะมีประจำเดือนมานะคะ

ในกรณีที่ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวมแบบ 28 เม็ด จะมีเม็ดแป้งอยู่ 4 หรือ 7 เม็ดสุดท้ายของแผง แล้วแต่ยี่ห้อที่ใช้ ซึ่งประจำเดือนจะมาในช่วงที่ใช้เม็ดแป้งค่ะ (มักจะมาเมื่อใช้เม็ดแป้งเม็ดที่ 3 - 4)

หากไม่ต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ต่อหลังจากที่ประจำเดือนมาแล้ว สามารถหยุดใช้ยาที่เหลือในแผงได้เลยค่ะ (เพราะเป็นเพียงเม็ดแป้ง ไม่มีตัวยา) ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์อีกหลังจากประจำเดือนมาแล้ว ก็ไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ

แต่หากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันหลังจากนั้น จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้นะคะ

จะป้องกันด้วยถุงยางอนามัยแทนก็ได้ค่ะ ก็คือเมื่อหมดแผงแล้ว ไม่ต้องต่อยาคุมแผงใหม่ และเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ก็ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งแทน แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะต่ำกว่ายาคุมรายเดือน และมีโอกาสผิดพลาดเช่น ถุงยางรั่วซึมหรือฉีกขาดได้ง่าย โอกาสในการตั้งครรภ์ของยาคุมรายเดือนคือ 0.3 - 9% แต่สำหรับถุงยางอนามัยคือ 2 - 18% นะคะ

อย่างไรก็ตาม หากใช้ถุงยางได้ถูกต้อง และไม่มีปัญหารั่วซึมและฉีกขาด ก็ถือว่าเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงค่ะ อีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย

ไม่สะดวกค่ะ แนะนำให้สอบถามในช่องทางเดิม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจอื่น ๆ ที่สามารถเข้ามาอ่านได้ด้วยค่ะ

ขออธิบายยาวหน่อยนะคะ จะได้นึกภาพตามและเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ตามธรรมชาติ จะมีการปฏิสนธิได้ ต้องประกอบด้วย 2 ปัจจัยนี้นะคะ
1. มีไข่ตก
2. มีอสุจิเข้าไปในช่องคลอด

การใช้ยาคุมรายเดือน จะป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยกลไกหลักคือยับยั้งไข่ตกค่ะ ดังนั้น เมื่อไข่ไม่ตก ต่อให้มีเพศสัมพันธ์หลั่งใน มีอสุจิเข้าไปในช่องคลอดได้ ก็ไม่สามารถจะผสมกับไข่เกิดเป็นการปฏิสนธิได้นะคะ

ส่วนถุงยางอนามัย จะป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปในช่องคลอดได้ค่ะ ก็คือหลั่งแล้วอสุจิก็ยังอยู่ภายในถุงยาง ดังนั้น หากใช้ถูกต้อง และถุงยางไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด ต่อให้มีไข่ตก ก็ไม่มีอสุจิเข้าไปผสม จึงไม่เกิดการปฏิสนธินั่นเอง

จะเห็นได้ว่า หากใช้วิธีใดวิธีหนึ่งได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็แทบจะไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เลย (เนื่องจากในการศึกษาประสิทธิภาพของการคุมกำเนิด ยังไม่พบว่ามีวิธีใดที่สามารถป้องกันการตัังครรภ์ได้ 100% ดังนั้น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะไม่มีการตั้งครรภ์แน่นอน บอกได้เพียงว่า มีโอกาสน้อยมากที่จะตั้งครรภ์นะคะ)

แต่ในกรณีที่ใช้ 2 วิธีร่วมกัน ก็มีประโยชน์ เพราะ หากทางใดทางหนึ่งพลาด เช่น
- ลืมรับประทานยาคุมแล้วมีไข่ตก ก็ยังมีถุงยางป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่
- หรือถ้าถุงยางฉีกขาดแล้วอสุจิเข้าไปในช่องคลอดได้ ก็ยังมีผลยับยั้งไข่ตกจากยาคุมรายเดือนอยู่ เมื่อไม่มีไข่ตก ก็ไม่เกิดการปฏิสนธิและไม่มีการตั้งครรภ์ตามมา

สมมติว่าไข่ตกและมีอสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้ จะเรียกว่ามี "การปฏิสนธิ" แล้ว ซึ่งหากตัวอ่อน (ไข่ที่ผสมกับอสุจิ) สามารถไปฝังตัวที่เยื่อบุมดลูกได้สำเร็จ ก็จะเรียกว่ามี "การตั้งครรภ์" ค่ะ

คนที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิด ปกติจะมีไข่ตกประมาณกึ่งกลางของรอบประจำเดือนค่ะ (รอบประจำเดือน ไม่ใช่จำนวนวันที่มีประจำเดือนออกมานะคะ แต่หมายถึงระยะห่างจากวันแรกที่มีประจำเดือนในแต่ละครั้ง ซึ่งตามธรรมชาติ อาจมีรอบประจำเดือนได้ตั้งแต่ 21 - 35 วัน) ถ้าไม่มีการฝังตัวของตัวอ่อนที่เยื่อบุมดลูกในรอบเดือนนั้น เยื่อบุมดลูกจะเกิดการหลุดลอกออกมากลายเป็นประจำเดือน ดังนั้น เมื่อมีประจำเดือนมาแล้ว แสดงว่าในรอบเดือนนั้นไม่มีการตั้งครรภ์แล้วนะคะ

ดังนั้น หากนับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมาแล้ว ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์อีกเลย ต่อให้จะมีไข่ตกในกึ่งกลางของรอบเดือนใหม่ ก็ไม่มีการตั้งครรภ์นะคะ

แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์อีกโดยไม่ได้ป้องกัน มีอสุจิเข้าไปในช่องคลอดได้แล้ว หากมีไข่ตกในช่วงนั้นพอดี (เพราะวันไข่ตกอาจไม่แน่นอน หากฮอร์โมนแปรปรวน ไข่อาจตกเร็วขึ้นหรือช้ากว่าวันที่คาดไว้) ก็อาจจะมีการปฏิสนธิและตั้งครรภ์ตามมาค่ะ

ดังนั้น จึงได้แนะนำว่า หากใช้ยาคุมหมดแผงแล้ว (ซึ่งประจำเดือนจะมาในช่วงท้าย ๆ ของแผงสำหรับยาคุมฮอร์โมนรวมชนิด 28 เม็ด) หากไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์ต่อ สามารถหยุดใช้ยาคุมได้ค่ะ ก็คือไม่ต้องต่อยาคุมแผงใหม่

แต่ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์ต่อ แต่ไม่อยากรับประทานยาคุมอีกแล้ว ก็สามารถใช้ถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์ก็ได้ เพราะถ้าใช้ถูกต้อง และถุงยางไม่รั่วซึมหรือฉีกขาด ก็มีโอกาสน้อยที่จะตั้งครรภ์ค่ะ