มีสพส.วันที่ 2,10,14 กันยายน ซึ่งวันที่2ป้องกัน แต่วันอื่นไม่ป้องกัน และกินยาคุมฉุกเฉินวันที่ 11 กันยายน เริ่มเจ็บเต้านมตั้งแต่วันที่3-4 และมาเจ็บหนักหลังกินยาคุมฉุกเฉิน โดยเจ็บตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันยังไม่หาย(วันที่19ก.ย.) และในช่วง17-18นี้มีอาการปวดท้องน้อยหน่วงๆเจ็บๆ อยากทราบว่า 1.ประจำเดือนครั้งต่อควรมาประมานช่วงไหน 2.จะทราบได้อย่างไรว่ายาคุมฉุกเฉินทำให้ท้องหรือไม่ท้อง 3.อาการเจ็บเต้านมมันเจ็บเพราะยา หรือเป็นอาการของคนท้อง 4.มีโอกาสท้องมาน้อยแค่ไหน "แนบรูปตารางวันที่มีประจำเดือน"

เนื่องจากไม่เห็นข้อมูลตารางที่ต้องการแนบให้ดูนะคะ จึงขอตอบดังนี้

1. ประจำเดือนครั้งต่อไปควรมาประมาณช่วงไหน

ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาเร่งประจำเดือนค่ะ หากไม่มีการตั้งครรภ์ ผู้ใช้มากกว่า 90% จะมีประจำเดือนมาตามรอบประจำเดือนปกติ หรือคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4 วัน

ดังนั้น หากที่ผ่านมา คุณมีประจำเดือนมาตรงเวลาเสมอ ในรอบนี้ก็ควรจะมาตามเวลาที่คาดการณ์ไว้ แต่ถ้าที่ผ่านมามีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา ช้าบ้าง เร็วบ้าง ในรอบนี้ก็อาจคลาดเคลื่อนได้เช่นเดิม ไม่ว่าคุณจะใช้ยาคุมฉุกเฉินหรือไม่ก็ตามค่ะ

2. จะทราบได้อย่างไรว่ายาคุมฉุกเฉินทำให้ท้องหรือไม่ท้อง

ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้ใช้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ 15 - 25%

เมื่อใช้ไปแล้ว หากประจำเดือนไม่มาตามรอบปกติ ก็จะสงสัยว่าอาจมีการตั้งครรภ์ค่ะ จึงควรตรวจการตั้งครรภ์นะคะ โดยถ้าตรวจทางปัสสาวะ ให้ตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 14 วันค่ะ

3. อาการเจ็บเต้านมมันเจ็บเพราะยา หรือเป็นอาการของคนท้อง

ในกรณีที่มีอาการเจ็บคัดตึงเต้านมจากฮอร์โมน อาจเกิดได้จากหลายกรณีค่ะ ยกตัวอย่างในกรณีที่ไม่ตั้งครรภ์นะคะ จะเป็นฮอร์โมนที่รับมาจากภายนอก นั่นก็คือการรับประทานยาคุมฉุกเฉินหรือยาคุมรายเดือนก็ได้ หรือจะเป็นฮอร์โมนจากภายใน เช่นช่วงหลังไข่ตกไปจนถึงก่อนมีประจำเดือนก็ได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นว่าจะต้องมีการตั้งครรภ์เสมอไปจึงจะมีอาการดังกล่าว

เพราะฉะนั้น อาการนี้ไม่ใช่อาการจำเพาะเจาะจงค่ะ แต่เกิดได้จากหลายสาเหตุ

4. มีโอกาสท้องมาน้อยแค่ไหน

ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% นะคะ นั่นหมายถึง หากมีเพศสัมพันธ์ ก็ย่อมมีโอกาสตั้งครรภ์ได้เสมอ มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นกับว่าจะเลือกป้องกันด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพหรือไม่

และเนื่องจากไม่ทราบรายละเอียดอื่น ๆ (เพราะไม่เห็นตารางที่ต้องการแนบมาให้ดู) และไม่ทราบว่าวันที่ 2 กันยายน คุณป้องกันด้วยวิธีใด จึงแนะนำให้พิจารณาตามข้อมูลนี้เองนะคะ

- ไม่ป้องกันเลย มีโอกาสตั้งครรภ์ 85%
- การนับวันปลอดภัย หรือ "หน้า 7 - หลัง 7" มีโอกาสตั้งครรภ์ 5 - 24% (โดยทั่วไปจะพบเป็น 24%)
- การหลั่งนอก มีโอกาสตั้งครรภ์ 4 - 22% (โดยทั่วไปจะพบเป็น 22%)
- การใช้ถุงยาง มีโอกาสตั้งครรภ์ 2 - 18% (ถ้าใช้ถูกต้องและไม่รั่วซึม จะพบเป็น 2%)
- การฉีดยาคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.2 - 6% (ถ้าไปฉีดตรงตามนัดสม่ำเสมอ จะพบเป็น 0.2%)
- การฝังยาคุมกำเนิด มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.05%
- การรับประทานยาคุมรายเดือน มีโอกาสตั้งครรภ์ 0.3 - 9% (ถ้าใช้ถูกต้องและตรงเวลา จะพบเป็น 0.3%)
- การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน จะมีโอกาสตั้งครรภ์ 15 - 25%
..
..
..
ควรทำอย่างไรดี?

รอดูว่าจะมีประจำเดือนมาตามรอบปกติหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ควรตรวจการตั้งครรภ์ค่ะ และหากจะตรวจด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะ ควรตรวจในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วัน

ต่อไป หากจะมีเพศสัมพันธ์อีก แต่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ควรเลือกวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาป้องกัน ไม่ควรใช้การนับวันปลอดภัย, การหลั่งนอก หรือการใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนวิธีคุมกำเนิดปกตินะคะ

ถ้าเช่นนั้นแนะนำให้ตรวจตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบทางปัสสาวะในวันพรุ่งนี้เช้าหลังตื่นนอนนะคะ หากผลออกมาเป็น 1 ขีด คือไม่ตั้งครรภ์ ให้รอดูไปก่อนว่าจะมีประจำเดือนมาหรือไม่ (แต่ระหว่างนี้ควรงดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อนค่ะ)

ถ้ารอนานแล้วยังไม่มีประจำเดือนมาอีก ให้ตรวจตั้งครรภ์ทางปัสสาวะซ้ำในตอนเช้าหลังตื่นนอน ห่างจากวันที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดอย่างน้อย 14 วันนะคะ

เมื่อตรวจถูกต้องตามวิธีที่ระบุไว้ในฉลาก และตรวจในเวลาที่เหมาะสมแล้ว หากผลออกมาเป็น 1 ขีด ก็เชื่อมั่นได้มากกว่า 99% ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ค่ะ

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีประจำเดือนมาติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปทั้งที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุที่แท้จริง และรับการรักษาที่เหมาะสมนะคะ