กินผักแล้วท้องยังผูก

ท้องผูก (Constipation) เป็นอาการถ่ายอุจจาระน้อยกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออกเป็นเวลานาน ซึ่งพฤติกรรมและความถี่ในการถ่ายอุจจาระปกติของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน แต่ในทางการแพทย์มักหมายถึงการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สาเหตุเกิดได้จากหลายอย่าง เช่น การอั้นอุจจาระ รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย น้ำหนักตัวมากหรือน้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อย ความเครียดหรือความกดดัน ปัญหาทางด้านจิตใจ มีภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ อยู่ในวัยผู้สูงอายุ การรักษาเริ่มจากปรัลเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอาหารที่มีกากใยสูงอย่างน้อย 18-30 กรัมต่อวัน โดยเฉพาะผักและผลไม้สด ธัญพืช หรือเติมสารเพิ่มปริมาณ (Bulking Agents) ในอาหารที่รับประทาน เช่น รำข้าวสาลี เพื่อช่วยให้อุจจาระมีความอ่อนตัวมากขึ้นและง่ายต่อการขับถ่าย ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดน้ำ และไม่ทำให้อุจจาระแข็งจนเกินไป ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อฝึกกล้ามเนื้อให้ทำงานได้เป็นปกติ ปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้เป็นเวลาในแต่ละวัน ไม่ควรมีการอั้นอุจจาระหรือรีบร้อนในการขับถ่าย ไม่ควรใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นเวลานาน และควรมีการปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาทุกครั้ง ใช้ยาระบาย หรือหากรับประทานยาระบายแล้วยังอุจจาระ ไม่ออกอาจจะต้องใช้ยาเหน็บ หรือการสวนทวารค่ะ

ต้องถามก่อนว่ากินผักเยอะขนาดไหน อาจจะทานไม่พอก็ได้ค่ะ นอกจากกินผักแล้วยังมีวิธีีอื่นที่ช่วยลดอาการท้องผูกซึ่งต้องทำควบคู่กันไปกับการทานผักค่ะ ได้แก่ ทานผลไม้ ธัญพืช ถั่วต่างๆ และดื่มน้ำสะอาดวันละมากๆเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม อย่างน้อยวันละ 8 - 10 แก้ว และเคลื่อนไหวร่างกายออกกำลังกายเสมอ
ถ้าอาการท้องผูกยังคงมีอยู่ไม่ดีขึ้นหลังปรับเปลี่ยนอาหาร ดื่มน้ำ และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย อาจใช้ยาแก้ท้องผูกโดยปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ ถ้าซื้อยากินเอง เมื่อใช้ยาแก้ท้องผูกนานเกิน 5 - 7 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุค่ะ