เลมอนเป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลซิตรัสที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่นอกจากสีสันของเปลือกและเนื้อที่เตะตา และกลิ่นหอมที่เย้ายวนใจแล้ว มันก็ยังนำมาใช้เป็นส่วนผสมของสารพัดเมนูคาวหวาน น้ำและเนื้อของเลมอนอุดมไปด้วยสารอาหารที่อาจมากกว่าที่คุณคิดไว้เสียอีก และที่สำคัญคือ มันยังเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานด้วยค่ะ แต่ว่าจะเป็นเพราะอะไรนั้น เราลองมาดูพร้อมกันเลยดีกว่า
5 ประโยชน์ของเลมอนที่มีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีอะไรบ้าง?
1. วิตามินซีในเลมอนอาจช่วยลดระดับของน้ำตาลกลูโคสในเลือด
นักวิจัยพบความสัมพันธ์ที่ผกผันระหว่างระดับของวิตามินซีในร่างกาย และความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน ทั้งนี้พวกเขาพบว่า การทานผลไม้และผักอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งเลมอนมอบวิตามินซีให้คุณได้เกือบประมาณ 50% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน นอกจากนี้นักวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงการใช้วิตามินซีร่วมกับยาอย่างเมทฟอร์มิน เพื่อช่วยรักษาโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วมทดลองทานวิตามินซีร่วมกับเมทฟอร์มินเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ผลปรากฏว่า ระดับของกลูโคสในเลือด และน้ำตาลสะสม (HbA1c) ลดลงทั้งก่อนและหลังทาน อย่างไรก็ตาม การทานวิตามินซีแบบอาหารเสริมปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นการเลือกทานวิตามินซีที่มาจากแหล่งธรรมชาติอย่างน้ำ เลมอนจึงเป็นไอเดียที่ดี
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
2. ไฟเบอร์ช่วยควบคุมกลูโคสและลดความเสี่ยงในการโรคหัวใจ
เลมอนมีไฟเบอร์ในเนื้อมากถึง 2.4 กรัม ซึ่งมีค่าประมาณ 9.6% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ทั้งนี้การทานอาหารที่มีไฟเบอร์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะคนที่เป็นโรคนี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น การทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอาจช่วยปรับปรุงการควบคุมค่าดัชนีน้ำตาล ทำให้ระดับของน้ำตาลกลูโคสผันผวนน้อยลงและทำให้คุณอิ่มนานขึ้น นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังทำให้ร่างกายพึ่งฮอร์โมนอินซูลินลดลง ทำให้ระดับของไตรกลีเซอไรด์ต่ำลง ช่วยลดน้ำหนัก ปรับปรุงการควบคุมการเผาผลาญพลังงานสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และลดความดันโลหิต
3. โพแทสเซียมในเลมอนช่วยต่อสู้กับปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ
โพแทสเซียมสามารถช่วยลดระดับของความดันโลหิต และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะกล้ามเนื้อหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นโรคที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นได้ เพราะมันช่วยลดการแข็งตัวของหลอดเลือดที่เกิดจากการสะสมของแคลเซียม นอกจากนี้โพแทสเซียมยังทำงานร่วมกับโซเดียมเพื่อควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย และช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ
4. ช่วยในการย่อยอาหาร
คนที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องรักษาระบบย่อยอาหารให้ทำงานเป็นปกติ โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ดีสามารถส่งผลต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ระบบย่อยอาหาร อีกทั้งยังทำให้เป็นโรคกรดไหลย้อนและภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า อาหารจะถูกย่อยได้ช้าลง และทำให้กระเพาะว่างช้าลงกว่าปกติ ซึ่งมีการค้นพบว่า น้ำเลมอนสามารถช่วยย่อยอาหาร และช่วยร่างกายกำจัดสารพิษ นอกจากนี้หากคุณมีปัญหากับน้ำหนักตัว การดื่มน้ำอุ่นพร้อมกับน้ำเลมอนอาจช่วยทำให้ระบบเมทาบอลิซึมทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้นตลอดทั้งวัน
5. มีแคลอรีต่ำ
คนที่เป็นโรคเบาหวานอาจต้องเลือกทานอาหารมากกว่าคนอื่น โดยไม่ให้ทานน้ำตาล คาร์บ หรือได้รับแคลอรีมากเกินไป แต่เลมอนเป็นหนึ่งในอาหารที่มีไขมันและแคลอรีต่ำที่คุณสามารถทานได้อย่างสบายใจ นอกจากนี้เลมอนยังมีวิตามินและแร่ธาตุมากเหมือนกับผลไม้ตระกูลซิตรัสชนิดอื่นๆ ซึ่งเนื้อเลมอน 84 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 44.5 มิลลิกรัม (49.4% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน) ไฟเบอร์ 2.4 กรัม (9.6% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน) แคลเซียม 22 มิลลิกรัม (1.7% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน) โพแทสเซียม 116 มิลลิกรัม (2.5% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน) และโฟเลต 22 ไมโครกรัม (2.3% ของประมาณที่แนะนำต่อวัน)
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทานเลมอนแบบง่ายๆ โดยนำมาคั้นเป็นน้ำ หรือนำมาผสมกับน้ำอุ่น ในกรณีที่คุณทานสลัด คุณก็อาจนำน้ำเลมอนมาทำเป็นน้ำราดสลัดแทนมายองเนส หรืออาจนำไปเพิ่มรสชาติให้เนื้อหรือปลาย่าง แต่ทั้งนี้คุณก็ควรจำกัดการทานเลมอนให้เหมะสม เพราะการทานเลมอนมากเกินไปสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ทำให้แสบร้อนกลางอก ท้องเสีย อาเจียน ทำให้เคลือบฟันถูกทำลาย ทำให้เกิดนิ่วในไต ฯลฯ