ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills) เป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้รับประทานภายหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือลืมกิน ไม่เคยกิน หรือฉีดยาคุมมาก่อน หรือการคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น ถุงยางอนามัยแตกหรือมีรอยรั่ว
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทานชนิดรายเดือน (Oral Contraceptive Pills) เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนสูงกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทานชนิดรายเดือน จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มาก และอาจเกิดอันตรายร้ายแรงแก่ผู้ใช้
นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรายเดือน
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้องคือ กินในระยะเวลาที่กำหนด และใช้เพื่อจุดประสงค์ป้องกันการตั้งครรภ์เท่านั้น ไม่สามารถยับยั้งการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้ว หรือให้ชัดเจนขึ้นคือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง
ปัจจุบันยาคุมที่มีจำหน่ายในบ้านเราเป็นชนิดที่มีตัวยาสำคัญคือ ลีโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) เพียงตัวเดียว ซึ่งมี 2 แบบ คือ
- ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบกล่องละ 2 เม็ด แต่ละเม็ดมีปริมาณลีโวนอร์เจสเตรล 0.75 มิลลิกรัม จำนวน 2 เม็ด
- ยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว มีปริมาณ levonorgestrel เม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม จำนวน 1 เม็ด
โดยจะเห็นได้ว่า ยาคุมฉุกเฉินทั้งสองแบบมีปริมาณตัวยาสำคัญรวมต่อกล่องเท่ากัน แต่ปริมาณยาที่รับประทานต่อครั้งแตกต่างกัน
วิธีกินยาคุมฉุกเฉินและประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน แบบ 1 เม็ด และ 2 เม็ด
ข้อมูลการศึกษาขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำไว้ว่า วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบกล่องละ 2 เม็ด (มีปริมาณลีโวนอร์เจสเตรลเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม) ให้กินยา 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมง โดยควรกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 120 ชั่วโมง (5 วัน) ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ จึงจะมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ยายังคงมีผลป้องกันการตั้งครรภ์ ก่อนไข่ที่ผสมกับอสุจิเรียบร้อยแล้วจะเกิดการฝังตัวที่ผนังมดลูกได้สำเร็จ หากยิ่งกินยาเร็ว ก็จะยิ่งให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์มากขึ้น ยิ่งกินภายใน 24 ชั่วโมงได้จะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียว (มีปริมาณลีโวนอร์เจสเตรล เม็ดละ 1.5 มิลลิกรัม) ก็ให้รับประทานยาภายใน 120 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน
โดยพบว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงถึง 90% แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ได้ 1.2-2.1% โดยยี่ห้อของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มาจากผู้ผลิตต่างกัน อาจทำให้ค่านี้แตกต่างกันได้
ข้อที่ควรคำนึงถึงสำหรับวิธีกินยาคุมฉุกเฉิน คือ การกินยาคุมแบบเม็ดเดียว จะให้ปริมาณยาในเลือดสูงกว่าการกินยาคุมแบบ 2 เม็ด จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก โดยทำการศึกษาจาก 10 ประเทศทั่วโลกพบว่า ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของยาคุมทั้งแบบ 1 เม็ด และ 2 เม็ด ไม่แตกต่างกัน
ดังนั้นการเลือกวิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียวจึงสะดวกกว่า เพราะถ้าเป็นยาคุมกำเนิด 2 เม็ด ผู้ใช้มักมีปัญหาลืมกินยาเม็ดที่ 2 ภายใน 12-24 ชั่วโมง หลังการกินยาเม็ดแรก ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการตั้งครรภ์สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบเลือกชนิดเม็ดเดียวนั้น ปริมาณยาต่อเม็ดจะสูงกว่า จึงอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เลือดออกที่ช่องคลอดผิดปกติ ประจำเดือนมาผิดปกติ
ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องสังเกตดูว่ารับประทานยาแล้วเกิดอาการอย่างไร มากน้อยเพียงใด หากไม่เกิด หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์น้อย ก็อาจพิจารณาใช้วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบกินชนิดเม็ดเดียว
หรือใช้ยาคุมฉุกเฉินชนิดกล่องละ 2 เม็ด แต่ใช้วิธีกินยาคุมฉุกเฉินนั้นสองเม็ดพร้อมกันในครั้งเดียวเลย ซึ่งมีความสะดวกมากกว่า และช่วยลดความเสี่ยงจากการลืมกินยาได้อีกด้วย
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่มีจำหน่ายในท้องตลาด
ปัจจุบันยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในประเทศไทยมีหลายยี่ห้อ ส่วนใหญ่เป็นชนิด 2 เม็ด มีเพียงยี่ห้อเดียวที่เป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิด 1 เม็ด เนื่องจากออกจำหน่ายภายหลังมีการศึกษาเพื่อยืนยันเรื่องประสิทธิภาพของการใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดเม็ดเดียวว่า วิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบนี้ก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน
ข้อควรระวังในของวิธีกินยาคุมฉุกเฉิน
- หากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง หลังกินยาคุมฉุกเฉิน ต้องรับประทานยาใหม่ซ้ำอีกครั้ง
- ภายใน 1 เดือน ห้ามรับประทานยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 กล่อง เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย เลือดออกผิดปกติ หรือท้องนอกมดลูกได้
- ห้ามใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนการใช้ยาคุมชนิดรายเดือน เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่า นอกจากนี้ยาคุมฉุกเฉินยังมีปริมาณยาที่รับประทานต่อครั้งสูงกว่ามาก หากรับประทานยาซ้ำหลายครั้งอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ที่ร้ายแรงตามมา
- ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาทำแท้ง ไม่อาจยับยั้งการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้
- ไม่ควรกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก่อนการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่ากับกินยาคุมหลังการมีเพศสัมพันธ์ทันที โดยพบว่าวิธีกินยาคุมฉุกเฉินแบบนี้จะมีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ถึง 5%
ยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินจริงๆ ไม่ควรใช้แทนยาคุมกำเนิด เพราะผลข้างเคียงจากการใช้ยาค่อนข้างรุนแรง และอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นยาคุมฉุกเฉิน หรือยาคุมกำเนิดก็ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยควบคู่กับยาคุมกำเนิด เพื่อความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์
ดูแพ็กเกจตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android