กองบรรณาธิการ HD
เขียนโดย
กองบรรณาธิการ HD
ทีมแพทย์ HD
ตรวจสอบความถูกต้องโดย
ทีมแพทย์ HD

หญ้าหวาน (Stevia)

หญ้าหวานคืออะไร ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับประโยชน์และอันตราย
เผยแพร่ครั้งแรก 28 มี.ค. 2018 อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 2021 ตรวจสอบความถูกต้อง 17 เม.ย. 2019 เวลาอ่านประมาณ 3 นาที
หญ้าหวาน (Stevia)

เรื่องควรรู้

ขยาย

ปิด

  • หญ้าหวาน คือ พืชสมุนไพรล้มลุกซึ่งให้ความหวานทดแทนน้ำตาลได้ ทั้งยังไม่มีแคลอรี่ ให้พลังงานน้อย และขับออกจากร่างกายได้ง่าย เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนัก
  • หญ้าหวานสามารถนำมาสกัดเพื่อผสมกับเครื่องดื่ม และอาหารได้หลายอย่าง เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ผักดอง เนื้อปลาบด ซีอิ๊ว ไอศกรีม แยม หมากฝรั่ง
  • นอกจากความหวานที่ไม่มีพลังงาน หญ้าหวานยังช่วยบำรุงตับ บรรเทาอาการอ่อนเพลียจากภาวะขาดน้ำ ใช้เป็นสารเพิ่มความหวานแทนน้ำตาลทั่วไปได้ ทั้งยังทนความร้อนได้นาน ไม่เน่าเสียง่าย
  • ปัจจุบันได้มีการทดลองวิจัยยอมรับแล้วว่า หญ้าหวานเป็นพืชที่ปลอดภัย ไม่มีพิษ สามารถบริโภคทดแทนน้ำตาลได้
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่บริโภคหญ้าหวานอย่าเพิ่งนิ่งนอนใจว่า สามารถหาสมุนไพรที่ทดแทนน้ำตาลได้แล้ว แต่ควรหมั่นไปพบแพทย์ตามนัดเสมอเพื่อตรวจอาการของโรคต่อไป (ดูแพ็กเกจตรวจเบาหวาน ตรวจสุขภาพทั่วไปได้ที่นี่)

"หญ้าหวาน" หรือ "สตีเวีย (Stevia)" คือ พืชสมุนไพรทางเลือกใหม่สำหรับใช้ทดแทนความหวานของน้ำตาล เชื่อว่าเมื่อรับประทานแล้วไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ทั้งยังให้รสชาติหวานเหมือนน้ำตาล และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ  

หลายคนอาจยังไม่รู้จักสรรพคุณของหญ้าหวานดี ดังนั้นวันนี้มาดูกันว่า สมุนไพรทางเลือกใหม่ชนิดนี้มีข้อดีอะไรบ้าง  

หญ้าหวานคืออะไร?

หญ้าหวานเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า "Stevia rebaudiana" ลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย คล้ายต้นโหระพา มีดอกเป็นช่อสีขาว ความสูงประมาณ 30-90 เซนติเมตร 

แต่เดิมหญ้าหวานมีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล และปารากวัย แต่ต่อมาในประเทศไทยได้เริ่มนำพืชชนิดนี้มาปลูกในภาคเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเย็น เหมาะแก่การเจริญเติบโตของหญ้าหวาน

โดยหญ้าหวานนั้น มีคุณสมบัติให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 10-15 เท่า ส่วนสารสตีวิโอไซด์ที่สกัดได้จากหญ้าหวานนั้น มีความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 200-300 เท่า และยังเป็นความหวานที่ไม่ให้พลังงานอีกด้วย

การใช้หญ้าหวานเพื่อประโยชน์ของสุขภาพ เริ่มจากการนำมาสกัดเพื่อใช้ผสมในเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และอาหารชนิดต่างๆ เช่น เต้าเจี้ยว ซีอิ้ว ผักดอง เนื้อปลาบด 

ด้วยเหตุนี้ คนรักสุขภาพจำนวนมากจึงนิยมนำหญ้าหวานมาใช้ทดแทนความหวานของน้ำตาลนั่นเอง

ประโยชน์ของหญ้าหวาน

หญ้าหวานไม่มีแคลอรี่ หรือหากมีก็อยู่ในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งหากเทียบกับน้ำตาลเพียง 2 ช้อนชา จะให้พลังงานถึง 30 แคลอรี่ และคาร์โบไฮเดรต 8 กรัม หญ้าหวานจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้านต่างๆ อีกมากมาย

  • ลดน้ำตาลในเลือด ด้วยคุณสมบัติที่ปราศจากพลังงาน จึงทำให้ร่างกายสามารถขับสารที่ได้จากหญ้าหวานออกมาได้ทันที นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า หญ้าหวานอาจกระตุ้นการทำงานของอินซูลินให้ดีขึ้นได้ และช่วยเพิ่มการผลิตอินซูลินด้วย ทำให้หญ้าหวานเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ที่รักสุขภาพทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หญ้าหวานจะเป็นสมุนไพรที่ดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน แต่ก็ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในคนต่อไป เพื่อยืนยันประสิทธิภาพในข้อนี้ด้วย
  • ลดความเสี่ยงต่อหลายๆ โรค หญ้าหวานสามารถช่วยลดไขมันในเลือด และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ จึงมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ เบาหวาน โรคอ้วน และโรคความดันโลหิตสูง
  • บำรุงตับ และบำรุงกำลัง โดยใช้ทดแทนเกลือแร่ในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ ทำให้ไม่เกิดอาการอ่อนเพลีย
  • ช่วยเพิ่มความหวานให้อาหาร โดยหญ้าหวานสามารถให้ความหวานได้เท่าเดิมโดยใช้ตาลน้อยลง หรืออาจไม่ต้องใช้น้ำตาลเลย
  • นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ เช่น นำใบหญ้าหวานมาอบแห้ง แล้วใช้ทั้งใบ หรือนำมาบดสำหรับใช้ชงชา หรือนำใบมาอบแห้งบดใช้แทนน้ำตาล เหมาะสำหรับใส่ในน้ำอัดลม ชาเขียว ขนม แยม ไอศกรีม หมากฝรั่ง หรือซอสปรุงรสก็ได้ 
  • สามารถทนความร้อนได้ดี เมื่อนำมาใช้กับอาหารจึงไม่เน่าเสียง่าย และแม้จะผ่านความร้อนนานๆ ก็ไม่ทำให้อาหารเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
  • ใช้แทนน้ำตาลในยาสีฟัน นอกเหนือจากการใช้ในอาหาร ปัจจุบันยังมีการนำสารสตีวิโอไซด์ที่สกัดจากหญ้าหวานไปใช้เป็นส่วนผสมในยาสีฟันแทนน้ำตาลด้วย 

อันตรายจากการใช้หญ้าหวาน

ปัจจุบันหญ้าหวานได้รับการประกาศจากทั้งสหรัฐอเมริกา และประเทศไทยแล้ววาสามารถใช้บริโภคเพื่อให้ความหวานได้อย่างปลอดภัย 

เนื่องจากหญ้าหวานเริ่มถูกนำมาใช้ประโยชน์มานาน ทำให้มีการวิจัยมากมายที่พยายามหาคำตอบว่า พืชชนิดนี้มีอันตรายหรือไม่ 

โดยบางงานวิจัยกล่าวว่า การบริโภคหญ้าหวานในปริมาณมากจะทำให้จำนวนสเปิร์มลดลง และอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ ถึงขั้นในช่วงหนึ่งที่องค์การอาหาร และยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้สั่งห้ามใช้หญ้าหวานเป็นสารปรุงแต่งในอาหารด้วย

ต่อมาได้มีการทดลองค้นคว้าถึงข้อเสีย และพิษของหญ้าหวานซ้ำหลายครั้ง ผลที่ได้พบว่าไม่มีพิษ หรืออาจมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น องค์การอนามัยโลก (World health organization: WHO) จึงประกาศว่า การใช้พืชชนิดนี้ไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2009 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประกาศ และให้การยอมรับว่าหญ้าหวานเป็นพืชที่ปลอดภัย ส่วนในประเทศไทยเองก็มีทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ศึกษาผลเสีย และอันตรายของหญ้าหวาน 

ซึ่งในภายหลังก็ได้ให้ข้อสรุปว่า หญ้าหวานมีความปลอดภัย สามารถใช้บริโภคเพื่อทดแทนความหวานของน้ำตาลได้  

วิธีใช้หญ้าหวาน

  • แบบชงเป็นชา ต้มน้ำร้อนแต่ไม่ต้องเดือดจัด ใส่ชาหญ้าหวาน 1-2 ใบ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาทีแล้วค่อยดื่ม หากเป็นกาน้ำปริมาณ 150-200 มิลลิลิตร ควรใส่ชาหญ้าหวานประมาณ 3-4 ใบ โดยการแช่หญ้าหวานในน้ำอุ่นนานๆ จะยิ่งช่วยเพิ่มความหวานให้มากขึ้น
  • แบบสำหรับใส่เครื่องดื่ม ทำเช่นเดียวกับแบบแรก แต่กรองเอากากใบชาทิ้ง แล้วนำน้ำที่ได้ไปชงกาแฟหรือเครื่องดื่มตามต้องการเพื่อเพิ่มความหวาน

แม้ว่าการศึกษาในปัจจุบันจะไม่พบว่า การใช้หญ้าหวานเป็นอันตรายแก่ร่างกาย แถมยังเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพทดแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี แต่อย่าลืมว่า การรับประทานสมุนไพรชนิดใดๆ ก็ตามที่มากเกิน ไปก็ย่อมไม่ดีต่อร่างกายได้ 

ดังนั้นการใช้หญ้าหวานก็ยังคงต้องคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อสุขภาพจริงๆ

ดูแพ็กเกจตรวจเบาหวาน ตรวจสุขภาพทั่วไป เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android


3 แหล่งข้อมูล
กองบรรณาธิการ HD มุ่งมั่นตั้งใจให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยทำงานร่วมกับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเลือกใช้ข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือจากสถาบันต่างๆ คุณสามารถอ่านหลักการทำงานของกองบรรณาธิการ HD ได้ที่นี่
Jennifer Huizen, Does stevia have any side effects? (https://www.medicalnewstoday.com/articles/319837.php), 27 October 2017.
Andrew Weil, Is Stevia Really Safe? (https://www.drweil.com/diet-nutrition/nutrition/is-stevia-really-safe/), 3 December 2007.

บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่ผู้อ่าน และไม่สามารถแทนการแนะนำของแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาได้ ผู้อ่านควรพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจที่สถานพยาบาลทุกครั้ง และไม่ควรตีความเองหรือวางแผนการรักษาด้วยตัวเองจากการอ่านบทความนี้ ทาง HD พยายามอัปเดตข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้องอยู่เสมอ คุณสามารถส่งคำแนะนำได้ที่ https://honestdocs.typeform.com/to/kkohc7

ผู้เขียนและผู้รีวิวบทความไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่นำเสนอแต่อย่างใด เว้นแต่จะระบุในเนื้อหา การแนะนำสินค้าและบริการแสดงขึ้นอัตโนมัติจากระบบของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

ขอบคุณที่อ่านค่ะ คุณคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์มากแค่ไหนคะ
(1 ดาว - น้อย / 5 ดาว - มาก)

บทความต่อไป