Cellulitis นั้นเป็นการติดเชื้อที่ผิวหนังซึ่งพบได้บ่อย โดยอาจจะเริ่มจากการที่ผิวหนังนั้นมีสีแดง บวม และร้อนเมื่อจับได้ ก่อนที่จะลามอย่างรวดเร็ว ส่วนมากมักมีอาการปวด
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่นั้นมักจะเกิดที่ขาเพียงข้างเดียว แต่การติดเชื้อนี้สามารถเกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดในร่างกายก็ได้ ส่วนมากมักเกิดที่ผิวหนังแต่ก็อาจจะเกิดที่เนื้อเยื่อชั้นที่ลึกลงไปใต้ผิวหนังก็ได้ และยังสามารถแพร่กระจายผ่านต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือด
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อนั้นอาจจะยิ่งแพร่กระจายและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หากคุณมีอาการต่อไปนี้ควรไปพบแพทย์ทันที
อาการของโรค cellulitis
อาการของโรคนี้อาจจะประกอบด้วย
- อาการปวดและบวมที่บริเวณดังกล่าว
- ผิวหนังแดงหรืออักเสบ
- มีอาการปวดหรือเป็นผื่นที่ผิวหนังที่ลามอย่างรวดเร็ว
- รู้สึกอุ่นที่บริเวณที่มีอาการ
- ตรงกลางของบริเวณดังกล่าวนั้นมีหนอง
- มีไข้
อาการบางอย่างที่อาจจะแสดงว่ามีการติดเชื้อที่รุนแรงเช่น
- สั่น
- หนาวสั่น
- รู้สึกป่วย
- อ่อนเพลีย
- มึนศีรษะ
- เวียนหัว
- ปวดกล้ามเนื้อ
- ผิวหนังอุ่น
- เหงื่อออก
อาการต่อไปนี้อาจจะแสดงว่าโรคกำลังลามไปยังบริเวณอื่น
- ง่วงนอน
- อ่อนเพลียไม่มีแรง
- มีตุ่มน้ำ
- มีรอยเส้นสีแดง
คุณควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังที่กล่าวไป
ปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค cellulitis
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
Cellulitis นั้นเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียบางชนิดนั้นเข้าสู่ร่างกายผ่านรอยแยกหรือแผลที่ผิวหนัง ส่วนมากมักเกิดจากแบคทีเรียสายพันธุ์ Staphylococcus และ Streptococcus
การบาดเจ็บที่ผิวหนังเช่นมีแผล มีแมลงกัดต่อย หรือการผ่าตัดนั้นมักจะเป็นบริเวณที่เกิดการติดเชื้อได้บ่อย ปัจจัยต่อไปนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ได้
ปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อยประกอบด้วย
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- โรคทางผิวหนังที่ทำให้ผิวหนังแตกเช่นผิวหนังอักเสบและติดเชื้อราที่เท้า
- การให้สารน้ำทางเส้นเลือด
- โรคเบาหวาน
- เคยมีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อน
การวินิจฉัยโรค
แพทย์มักจะสามารถวินิจฉัยโรคได้จากการมองเห็น แต่มักจะต้องทำการตรวจร่างกายเพิ่มเติมเพื่อประเมินความรุนแรงของโรค เช่น
- การดูการบวมของผิวหนัง
- ความแดงและอุ่นของบริเวณดังกล่าว
- มีต่อมน้ำเหลืองโต
แพทย์อาจจะเลือกติดตามอาการสักระยะหนึ่งเพื่อดูว่ามีการลามหรือไม่ขึ้นกับความรุนแรงของอาการที่คุณเป็น ในบางกรณีแพทย์อาจจะทำการตรวจเลือดและเพาะเชื้อจากแผลเพื่อดูว่ามีเชื้อแบคทีเรียหรือไม่
การรักษา
แพทย์มักจะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ 10-21 วันเพื่อรักษาโรคนี้ ระยะเวลาที่ใช้ยานั้นจะขึ้นกับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น และถึงแม้ว่าอาการของคุณจะดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังต้องรับประทานยาจนครบ ระหว่างที่รับประทานยาควรสังเกตว่าอาการของคุณดีขึ้นหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วอาการมักจะดีขึ้นและหายไปได้ในเวลาไม่กี่วัน
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ในบางรายอาจจะมีการให้ยาแก้ปวดร่วมด้วย คุณควรจะพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น เวลาที่คุณพักคุณควรยกแขน/ขาข้างที่มีอาการขึ้นสูงกว่าหัวใจเพื่อลดอาการบวม
ควรไปพบแพทย์ทันทีหากอาการของคุณยังไม่ดีขึ้นภายใน 3 วันหลังจากเริ่มการรักษา หรือหากอาการแย่ลงหรือมีไข้
โรคนี้มักจะหายภายในเวลา 7-10 วันหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะ แต่อาจจะต้องได้รับการรักษาที่นานขึ้นหากการติดเชื้อนั้นรุนแรง เช่นหากคุณเป็นโรคเรื้อรังหรือระบบภูมิคุ้มกันนั้นบกพร่อง
ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังบางโรคหรือมีปัจจัยเสี่ยงอาจจะต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการระหว่างการรักษา เช่น
- หากคุณมีอุณหภูมิกายสูง
- มีความดันโลหิตสูง
- มีการติดเชื้อที่ไม่ดีขึ้นหลังจากให้ยาปฏิชีวนะ
- มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคประจำตัวอื่นๆ
- ต้องใช้ยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดหากการใช้ยากินนั้นไม่ได้ผล
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีการติดเชื้อลามไปทั่วร่างกาย เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดได้ ในบางกรณีอาจจะเข้าสู่เนื้อเยื่อชั้นที่ลึกขึ้นได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ประกอบด้วย
- การติดเชื้อในกระแสเลือด
- การติดเชื้อที่กระดูก
- ทางเดินน้ำเหลืองอักเสบ
- เนื้อเยื่อนั้นตายหรือขาดเลือด
การป้องกัน
หากคุณมีแผลที่ผิวหนัง ให้ทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวทันทีและใช้ยาปฏิชีวนะแบบทาเป็นประจำ ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์และทำความสะอาดทุกวันจนกว่าจะเป็นสะเก็ด สังเกตว่ามีอาการแดง มีสารคัดหลั่งหรือปวดที่แผลหรือไม่เพราะเป็นอาการที่แสดงว่ามีการติดเชื้อ
ผู้ที่มีระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีหรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ควรติดตามอาการและดูแลแผลอย่างใกล้ชิดเช่น
- ดูแลให้ผิวหนังชุ่มชื้นเพื่อป้องกันการแตก
- รีบรักษาการติดเชื้อที่ผิวหนังเช่นการติดเชื้อราที่เท้า
- ใส่อุปกรณ์ป้องกันเวลาทำงานหรือออกกำลังกาย ตรวจดูเท้าเป็นประจำว่ามีแผลหรือติดเชื้อหรือไม่