ในปัจจุบัน การวิ่งออกกำลังไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกาเหมือนเมื่อหลายปีก่อน เพราะนักวิ่งมักประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บหัวเข่าจนวิ่งไม่ไหว มีอาการขัดยอก เคล็ด หรือเกร็งเป็นประจำเมื่อไม่นานมานี้เอง นักวิ่งอเมริกันตัวยง ซึ่งเป็นบรมครูของการวิ่งหัวใจวายในขณะวิ่ง คนจึงหันไปนิยมการเดินออกกำลังแทน คนที่เพิ่งคิดจะออกกำลังเพื่อสุขภาพ หากเริ่มต้นด้วยการเดิน จะทำสำเร็จได้ง่ายกว่าการออกกำลังกายอย่างอื่น วันนี้จึงขอชวนกันเดินออกกำลังกาย
การเดินมีข้อดีหลายอย่าง
ที่เหนือกว่าการออกกำลังกายวิธีอื่นที่เด่นที่สุดก็คือ ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่จำกัดเพศหรือวัย ถ้าไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาย่อมเดินได้ทุกคน เดินเป็นกันมาแล้วตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องสอนให้เดินใหม่ ทั้งไม่ต้องซื้อหาเครื่องมือเครื่องใช้อย่างใด ไม่ต้องเสียเงินค่าสมาชิกคลับ มีรองเท้าสวมสบายเพียงคู่เดียว แต่งตัวตามสบายจะนุ่งกางเกงกระโปรงหรือผ้าถุงก็เดินได้ ไม่ต้องมีกางเกงพิเศษเหมือนวิ่ง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เดินที่ไหนก็ได้
เริ่มเดินในบ้าน เดินออกจากบ้าน เดินในละแวกบ้าน เดินในที่ทำงาน เดินในตลาด เดินในสวนสาธารณะ หากอยากเดินในที่ปรับอากาศอาจเลือกเดินในมอลล์ แต่ต้องอดใจไม่แวะชมของ เลือกที่เดินได้ตามชอบใจ และตามความสะดวกไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเดิน คนที่ชอบวิ่งเป็นหมู่คณะ บางทีต้องขับรถไกลเพื่อวิ่ง
เดินกับเพื่อนหรือเดินคนเดียวก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินเป็นหมู่เป็นขบวน เพียงเลือกสถานที่ให้เหมาะ ไม่เปลี่ยวเกินไป ถ้ามีคนถูกใจเดินไปด้วยกันคงเดินได้ทน เพราะช่วยให้กำลังใจแก่กัน
การเดินไม่มีเรื่องให้เจ็บตัว
เดินช้าหรือเร็วปรับได้ตามความถนัด ไม่จำเป็นต้องเดินอย่างเร่งด่วนจนหอบ ถ้ายังพูดคุยกับคนที่เดินด้วยรู้เรื่องเรียกว่ากำลังดี ถ้าไม่เดินทอดน่องจนเกินไป กล้ามเนื้อย่อมได้ออกกำลัง กระดูกแข็งแรง การย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น คนที่เพิ่งเริ่มเดินออกกำลังกายจะรู้สึกว่าจิตใจสบายนอนหลับง่าย เจริญอาหาร ความเคร่งเครียดลดน้อยลง
การเดินออกกำลังอาจทำให้ถึงขั้นแอโรบิคได้
เพราะได้บริหารหัวใจและปอดเช่นเดียวกับการวิ่ง แต่อาจใช้เวลานาน กว่าจึงจะถึงขั้นแอโรบิค ข้อสำคัญต้องทำอย่างสม่ำเสมอ นั้นคือไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง ครั้งละไม่น้อยกว่ายี่สิบนาทีหากเดินน้อยกว่านี้จะไม่มีผลต่อหัวใจและปอด
การเริ่มด้วยการเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทอดแขนตามสบายไม่ต้องกวัดแกว่งมาก ตั้งเป้าไว้ว่าในสัปดาห์แรกควรเดินให้ได้อย่างน้อยครึ่งกิโลเมตรและเพิ่มขึ้นทีละน้อยทุกสัปดาห์ ในที่สุดควรจะเดินได้ประมาณครั้งละสามสิบถึงสี่สิบนาที หรือสองถึงสามกิโลเมตร
ควรหัดนับชีพจร
เพื่อให้รู้แน่ว่าถึงขั้นแอโรบิคหรือยัง อัตราเต้นสูงสุดของชีพจรของแต่ละคนคำนวณได้โดยลบจำนวนอายุจาก 220 หากชีพจรเต้นอยู่ระหว่างร้อยละ 60-80 ของอัตราสูงสุด นับว่าเข้าขึ้นแอโรบิค ในวันแรกอาจทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ หากเดินออกกำลังสม่ำเสมอจะถึงขั้นแอโรบิคได้ภายในสองหรือสามสัปดาห์ ถ้ายังไม่ถึงควรเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ต้องเดินเร็วจนหอบ และควรเดินนานขึ้น
หากต้องการลดน้ำหนักด้วยการเดิน ควรเดินครั้งละนานขึ้นหรือไกลขึ้นจะได้ผลและปลอดภัยกว่าเดินเร็วเกินไปเพราะการเดินเร็วทำให้เหนื่อยง่ายเมื่อยล้าเร็วเกินไป เพียงไม่กี่นาทีก็ต้องเลิก
ถ้ายังมีข้ออ้างว่าไม่สามารถเดินออกกำลังกายได้เพราะไม่มีเวลา ยิ่งควรหาเวลามาเดิน เพราะจิตใจและสมองได้พักผ่อนขณะเดิน เมื่อกลับไปทำงานทำให้สมาธิดีขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น