โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) เป็นโรคหรือกลุ่มอาการของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV) ที่เข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายกว่าปกติ
การติดเชื้อเอชไอวีมักมาจาก 3 ช่องทาง ได้แก่ มีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อโดยไม่มีการป้องกัน การได้รับเชื้อทางเลือด ที่มักพบในกรณีการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ฉีดสารเสพติด และการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก
ตรวจ STD วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 97 บาท ลดสูงสุด 76%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
อาการโรคเอดส์และการดำเนินของโรค
การติดเชื้อเอชไอวี จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายค่อยๆ ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้นตามเวลาที่ได้รับเชื้อ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี (Acute HIV infection) เป็นระยะที่ได้รับเชื้อมาประมาณ 1-6 สัปดาห์ มากกว่า 50% ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอและรักแร้โต เจ็บคอแต่ไม่มีเสมหะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร
บางรายมีผื่นขึ้นตามลำตัว จะมีอาการ 1-2 สัปดาห์ และจะหายไป ในระยะนี้หากไปการตรวจเลือดจะยังไม่พบการติดเชื้อ จะตรวจพบเชื้อได้หลังจากติดชื้อแล้ว 2-12 สัปดาห์ แต่ผู้ติดเชื้อสามารถถ่ายทอดเชื้อสู่คู่ทางการมีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว - ระยะการติดเชื้อไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic หรือ Clinical latent period) เป็นระยะที่เกิดหลังได้รับเชื่อ 8 เดือนถึง 1 ปี ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติ แต่เมื่อตรวจเลือดหรือน้ำลาย จะได้ผลบวกหรือแสดงว่ามีการพบเชื้อเอชไอวี
- ระยะที่มีอาการ (Symptomatic HIV Infection) หรือ ระยะเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome: AIDS) มักเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อมาแล้วหลายปี จะเริ่มมีการติดเชื้อราในช่องปาก ลำคอ ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณรักแร้ ขาหนีบ อาจเกิดงูสวัด มีแผลเริมลุกลาม และมีอาการเรื้อรัง มีไข้ไม่ทราบสาเหตุต่อเนื่องมากกว่า 10 วัน อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง เกิดผื่นคันตามแขน ขา หรือที่เรียกว่าตุ่ม PPE ซึ่งอาการเหล่านี้ ไม่ได้เป็นอาการจำเพาะของโรคเอดส์ จึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อการดูแลรักษาที่ถูกวิธี
เมื่อมีการติดเชื้อจนภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายลงมาก จะทำให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆ เช่น วัณโรค ปวดอักเสบ ติดเชื้อในระบบประสาท สมองและไขสันหลัง ติดเชื้อราเกิดแผลอักเสบในปาก ลำคอ และช่องคลอด หรืออาจมีการติดเชื้อที่นำไปสู่การตาบอด เกิดแผลหนองอักเสบ ท้องเสียรุนแรง หรืออาจเกิดเป็นมะเร็งชนิดต่างๆ ได้
อาการโรคเอดส์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่มีการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี
อาการโรคเอดส์ในเพศหญิงกับเพศชายแตกต่างกันหรือไม่?
อาการโรคเอดส์ในผู้ป่วยเพศหญิงและเพศชายจะคล้ายกัน แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ในผู้ป่วยเอดส์เพศหญิงจะมีอาการที่สามารถสังเกตได้เป็นพิเศษคือ ประจำเดือนผิดปกติ อาจมาน้อยลง มากขึ้น หรือมาไม่ปกติ หรืออาจมีอาการปวดประจำเดือนมาก ปวดท้องน้อย เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เจ็บขณะปัสสาวะ มีสารคัดหลั่งผิดปกติออกมาทางช่องคลอด แต่อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการเฉพาะเจาะจงของโรคเอดส์ ดังนั้นหากสงสัยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างแน่ชัด
โรคเอดส์เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความทุกข์ด้านร่างกายอย่างมากแก่ผู้ที่ได้รับเชื้อ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ ความเจ็บป่วย เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ไม่รับการรักษา เมื่อก่อนส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 ปี แต่ในปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ การดูแลรักษามีตั้งแต่การใช้ยาต้านไวรัส ใช้ยารักษาตามอาการ และการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตตามปกติและมีชีวิตที่ยืนยาวได้
ที่สำคัญคือ โรคเอดส์เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากเข้าใจความเสี่ยง และไม่ละเลยการป้องกันการติดเชื้ออย่างถูกวิธี