โรคงูสวัด เป็นโรคที่ส่งผลต่อระบบประสาทจนทำให้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเปลี่ยนไป และยังสร้างอาการเจ็บแสบตามร่างกายได้หลายตำแหน่ง
การรักษาโรคงูสวัดนั้นจำเป็นต้องอาศัยวิธีการรักษาหลายอย่างร่วมกัน ทั้งการรับประทานยา การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
1. การรักษาโรคงูสวัดด้วยยา
ยารักษาโรคงูสวัดจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย เช่น
- ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ รวมถึงบรรเทาอาการปวดประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) ไอบูโพรเฟน (Iboprofen) นาพรอกเซน (Naproxen) ยาแก้อักเสบกลุ่มไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยา NSAIDs ยากลุ่มอะมิทริปไทลีน (Tricyclic antidepressants: TCAs)
- ยาทาลดอาการผื่นคัน การอักเสบ เช่น ครีมแคปไซซีน (Capsaicin Cream) ยาลิโดเคน (Lidocaine) ครีมไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone)
- ยาต้านไวรัส (Antiviral Medications) เพื่อบรรเทาการกระจายของผื่นโรคงูสวัด จะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดหากคุณใช้ยาภายใน 72 ชั่วโมงตั้งแต่มีอาการ เช่น อะซัยโคลเวียร์ (Acyclovir) แฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
สำหรับยาที่ได้รับคำนิยมในการใช้เพื่อต้านเชื้อไวรัสโรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใสได้ดี คือ “อะซัยโคลเวียร์ (Acyclovir)”
ยา Acyclovir
โดยการออกฤทธิ์ของยานี้จะเข้าไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคงูสวัด และโรคอีสุกอีใส อีกทั้งยังสามารถใช้รักษาโรคเริม (Herpes simplex) ได้อีกด้วย
ยาอะซัยโคลเวียร์มีจำหน่ายหลากหลายรูปแบบ ทั้งยาเม็ด ยาแคปซูล ยาทา ยาฉีด การที่ผู้ป่วยจะใช้ยาในรูปแบบไหน ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์ แต่ส่วนมากยารูปแบบทาภายนอกมักไม่ค่อยใช้รักษาโรคงูสวัด และอีสุกอีใสมากนัก แต่มักใช้เพื่อรักษาโรคเริมมากกว่า
ปริมาณการใช้ยาอะซัยโคลเวียร์รูปแบบเม็ดในผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ที่เป็นโรคงูสวัดคือ รับประทานในขนาด 800 มิลลิกรัม วันละ 5 ครั้ง ทุก 4 ชั่วโมง ยกเว้นเวลากลางคืน ติดต่อกันเป็นเวลา 7-10 วัน
แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมาก แพทย์อาจให้ใช้ในรูปแบบยาฉีดเข้าสู่เส้นเลือดดำแทน โดยปริมาณการใช้ยาคือ ฉีดเข้าเส้นเลือดดำ 5 ครั้ง ครั้งละ 500 มิลลิกรัม ติดต่อกันนาน 7-10 วัน
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
จุดเด่นที่ทำให้ยาอะซัยโคลเวียร์เป็นยาที่มักใช้เพื่อรักษาโรคงูสวัด เพราะส่วนมากผู้ป่วยรับประทานเพียงวันละ 1-2 วัน วันละ 5 ครั้ง ทุกๆ 4 ชั่วโมง ตุ่มใสก็มักจะหยุดลุกลามแล้ว
และเมื่อเวลาผ่านไป 4-5 ตุ่มน้ำใสก็จะตกสะเก็ด และหายเป็นปกติในที่สุด
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาอะซัยโคลเวียร์อาจส่งผลข้างเคียงหลังจากใช้ได้ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ ซึ่งอาการเหล่านี้ยังนับเป็นอาการข้างเคียงปกติ
แต่หากมีอาการข้างเคียงรุนแรงต่อไปนี้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- ปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะสีเข้ม มีเลือดปนในปัสสาวะ
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- ปวดหลัง
- ปวดสีข้าง
- รู้สึกสับสน กระสับกระส่าย
- ง่วงนอน อ่อนเพลียมาก
- หัวใจเต้นแรง หรือเต้นผิดปกติ
- การมองเห็นผิดปกติ
- มีอาการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น ตัวบวม ศีรษะบวม ลิ้นบวม คอบวม หายใจลำบาก
ยาสำหรับรักษาภาวะแทรกซ้อนจากโรคงูสวัด
ในกรณีผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ จากโรคงูสวัด แพทย์จะพิจารณาจ่ายยาไปตามอาการ เช่น
- หากปวดแผล หรือแผลอักเสบ แพทย์อาจจ่ายยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไม่ให้ผื่นตุ่มน้ำติดเชื้อ หรือเป็นหนอง เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน (Dicloxacillin) อิริโทรมัยซิน (Erythromycin)
- หากผู้ป่วยผื่นงูสวัดขึ้นตา ทางจักษุแพทย์จะจ่ายยาเพื่อป้องกันอาการอักเสบในดวงตา และอาจลุกลามทำให้เกิดอาการร้ายแรงอื่นๆ ตามมา เช่น รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ ครั้งละ 800 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง วันละ 5 ครั้ง นาน 10 วัน ควบคู่ไปกับใช้ขี้ผึงป้ายตาอะไซโคลเวียร์ 3% ป้ายตาวันละ 5 ครั้ง สำหรับผู้ป่วยรูม่านตาอักเสบ แพทย์จะจ่ายยาหยอดสเตียรอยด์ และยาหยอกอะโทรปีน 1% ให้
- ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซัก แพทย์จะให้รับประทานยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) เป็นยาในกลุ่มคอติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid) ช่วยลดการอักเสบ โดยรับประทานวันละ 45-60 มิลลิกรัม ติดต่อกันประมาณ 1-2 สัปดาห์ จนกว่าผื่นจะหายไป
- ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรงมาก แพทย์อาจให้ยาฉีด ยาทา หรือยาพ่น หรือใช้แคปไซซิน (Capsacin) ซึ่งเป็นสารสกัดจากพริก ซึ่งสามารถบรรเทาอาการปวดได้
ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจจ่ายยารักษาโรคลมชัก เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดประสาทร่วมด้วย เช่น คาร์บามาซีปีน (Carbamazepine) กาบาเพนติน (Gabapentin)
2. การดูแลตนเองขณะเป็นโรคงูสวัด
การดูแลแผลขณะรักษาโรคงูสวัดนั้นไม่ยาก และสามารถทำได้ด้วยตนเอง ผ่านการทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
- หมั่นทำความสะอาดแผลให้แห้งอยู่เสมอด้วยสบู่อ่อนๆ หรือน้ำสะอาด
- อย่าปล่อยให้แผลอับชื้น เพราะจะยิ่งติดเชื้อได้ง่าย
- ไม่เกา หรือแกะแผลเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บแผล และเสี่ยงติดเชื้อ หากรู้สึกคันแผล ให้ทาครีมยาแก้คัน หรือครีมลดผื่นแทน แต่ต้องให้แพทย์ หรือเภสัชกรเป็นคนสั่งจ่ายยาเท่านั้น
- หมั่นใช้น้ำเกลือประคบแผลครั้งละ 10 นาที วันละ 3-4 ครั้ง จะทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาพ่น หรือสมุนไพรทาลงบนแผลโดยตรง เพราะอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียจนแผลหายช้า และยังทำให้เป็นแผลเป็นในภายหลังด้วย
- หากมีอาการปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ จะช่วยให้อาการดีขึ้น
- ทายา หยอดยา และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ประคบเย็นที่แผลเพื่อลดอาการปวด หรืออาการอักเสบจากแผลผื่น
- สวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ หรือเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าใยธรรมชาติ เพื่อลดความระคายเคืองผิวบริเวณที่มีผื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวผู้อื่นและปิดแผลผื่นให้มิดชิด เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ร่างกายอ่อนเพลีย มิฉะนั้นภูมิคุ้มกันร่างกายจะยิ่งอ่อนแอจนไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หมด
3. การรับประทานอาหารเพื่อบรรเทาอาการโรคงูสวัด
นอกจากการดูแลแผลของโรคให้สะอาด การรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดียิ่งขึ้น ก็มีส่วนทำให้โรคงูสวัดหายได้เร็วเช่นกัน
อาหารที่แนะนำให้รับประทานในระหว่างรักษาโรคงูสวัดจะเป็นอาหารที่แฝงไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินอี มีสารไลซีน (Lysine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นอีกชนิด เช่น
- ไข่
- ผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากนม
- อาหารประเภทเนื้อแดง
- เนื้อไก่
- อาหารประเภทธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง
- ผลไม้สีเหลือง หรือสีส้ม เช่น กล้วย ส้ม สัปปะรด
- ผักใบเขียว
- ชาเขียว
ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างที่โรคงูสวัดยังไม่หายดี ได้แก่
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- อาหารที่แฝงด้วยสารอาร์จินีน (Arginine) เช่น ช็อกโกแลต ถั่ว เจลาติน
- อาหารที่แฝงไปด้วยคาร์โบไฮเดรตที่ปรุงแต่งแล้ว (Refined carbohydrates foods) เช่น ข้าวขัดสี เส้นพาสตา มักกะโรนี
- อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอด อาหารมัน ขนมปังเนยนม ชีส
วิธีป้องกันโรคงูสวัดที่ดีที่สุดคือ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี และฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจฉีดวัคซีนงูสวัด จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
คุณหมอคะ ทำไมถึงปวดในเส้นเดือดที่หลังมือคะ