โรคจิตเภท คือ กลุ่มอาการของโรคจิตที่มีความผิดปกติของความคิด โดยผู้เชี่ยวชาญคาดว่าความผิดปกตินี้อาจเกิดขึ้นจากการมีปัจจัยเสี่ยงด้านลักษณะทางพันธุกรรม ความผิดปกติของสมองจากสารเคมีในสมอง โครงสร้างสมอง หรือการได้รับความเสียหายของสมอง รวมไปถึงปัจจัยด้านการเลี้ยงดู บุคลิกภาพ และแรงกดดันจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว
สังเกตอาการโรคจิตเภทได้อย่างไร?
อาการของโรคจิตเภทแบ่งได้อย่างละเอียดเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ปรึกษาสุขภาพจิต วันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 882 บาท ลดสูงสุด 51%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
1. ระยะเริ่มมีอาการ
มักมีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป และ อาจมีอาการนานเป็นเดือนหรือเป็นปี โดยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือด้านสัมพันธภาพ มักเก็บตัวมากขึ้น หมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่าง มีความคิด คำพูดแปลกๆ ไม่สนใจดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า ร่างกาย
2. ระยะอาการกำเริบ
ส่วนใหญ่อาการมักกำเริบเมื่อผู้ป่วยเผชิญกับความกดดันทางจิตใจ ดื่มสุราหรือใช้สารเสพติด แต่ในบางรายอาการสามารถกำเริบได้เอง ในระยะนี้จะเห็นความผิดปกติของอาการได้ชัดเจน ได้แก่
- อาการหลงผิด มักหลงผิดว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวล้วนแต่เกี่ยวโยงกับตนเอง หลงผิดว่าตนเองเป็นเทพ หรือมีอำนาจบางอย่างมาบังคับให้ตนเองต้องทำตามอย่างฝืนไม่ได้ , หวาดระแวงว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง มีคนปองร้าย
- อาการประสาทหลอน คือจะรับรู้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งกระตุ้นทั้งทางรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อาการประสาทหลอนที่พบบ่อย คือ เสียงแว่ว มักเป็นเสียงคนพูดกันเป็นเรื่องราวหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิตัวผู้ป่วย, เห็นภาพหลอนอาจเห็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ เห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง, ประสาทหลอนทางจมูกและปาก เช่น ได้กลิ่นแปลกๆ หรือลิ้นรับรู้รสแปลกๆ, ประสาทหลอนทางผิวหนัง เช่น รู้สึกว่ามีแมลงไต่ตามตัว ยุบยิบๆ
- อาการด้านความคิด ผู้ป่วยมักมีความคิดในลักษณะที่มีเหตุผลแปลกๆ ไม่เหมาะสม ตนเองเข้าใจคนเดียว พูดจาไม่ต่อเนื่อง ตอบไม่ตรงคำถาม มีการวางคำในตัวประโยคสับสนจนฟังไม่เข้าใจ
- อาการด้านพฤติกรรม ได้แก่ เก็บตัว ไม่อาบน้ำ ผมเผ้ารุงรัง กลางคืนไม่นอน ชอบเดินไป-มา ตะโกนโวยวาย หัวเราะหรือยิ้มกริ่มทั้งวัน แต่งเนื้อแต่งตัวแปลกๆ หงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว
3. ระยะอาการหลงเหลือ
เมื่อได้รักษาอาการหลงผิดหรือประสาทหลอนก็จะทุเลาลง หรืออาจเป็นนานๆ ครั้ง พูดจาฟังรู้เรื่องมากขึ้น แต่ยังมีความคิดแปลกๆ และอาจมีอาการด้านลบ เช่น อารมณ์เฉยเมย ไม่กระตือรือร้น เฉื่อยชา จิตใจเหม่อลอย
ขั้นตอนการวินิจฉัยและรักษาโรคจิตเภท
ต้องอาศัยข้อมูลจากการซักถามประวัติ เช่น ความเจ็บป่วยทางจิตในญาติๆ ประวัติส่วนตัว การเลี้ยงดู ลักษณะอุปนิสัย การปรับตัว และพิจารณาอาการของผู้ป่วย คือ ต้องมีอาการในระยะอาการกำเริบตั้งแต่ 2 อาการขึ้นไปนาน 1 เดือน และมีอาการทั้ง 3 ระยะเป็นต่อเนื่องกันนาน 6 เดือนขึ้นไป
หากวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคจิตเภท แพทย์ก็จะให้การรักษาต่อไป ซึ่งโรคจิตเภทนั้นยากที่จะรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยมักต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
ดังนั้นเป้าหมายของการรักษาจึงเป็นการบรรเทาอาการให้ดีขึ้น ซึ่งอาจมีการใช้หลากหลายวิธีร่วมกันไป ทั้งยาต้านโรคจิต การบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจ การทำจิตบำบัด ครอบครัวบำบัด และการช็อคไฟฟ้า
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ขั้นต่อไปคือการป้องกันอาการกำเริบ โดยดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงสาเหตุที่จะทำให้อาการกำเริบได้ และรู้วิธีสังเกตอาการก่อนที่จะมีอาการกำเริบขึ้น ร่วมไปกับการฟื้นฟูให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติที่สุดและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น การฝึกทักษะการใช้ชีวิตในสังคม การเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพ และทักษะในการสื่อสาร
คำถามที่ผู้ป่วยและญาติมักกังวลเกี่ยวกับโรคจิตเภท
Q: โรคจิตเภทสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
A: การรักษาโรคจิตเภท ผู้ป่วยต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ตามแพทย์สั่ง ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายปี โดยยาจะช่วยควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กลับเข้าสู่สังคมได้ ดูแลตนเองและทำงานได้ หากขาดยาอาจทำให้โรคกำเริบซ้ำได้ และบางรายไม่ขาดยาก็มีอาการกำเริบซ้ำได้เช่นกัน
Q: จะต้องทานยาไปนานเท่าไร
A: ระยะเวลาในการรักษานั้น ในผู้ที่เป็นครั้งแรกหลังจากรักษาอาการดีขึ้นแล้วควรกินทานยาต่อไปอีกประมาณ 1 ปี หากผู้ป่วยมีอาการกำเริบครั้งที่สองควรทานยาต่อเนื่องไประยะยาว เช่น 5 ปี หากเป็นบ่อยกว่านี้อาจต้องทานยาต่อเนื่องไปตลอด
Q: ทำอย่างไรเมื่อผู้ป่วยไม่ยอมทานยา
A: ผู้ป่วยน้อยรายที่จะยอมรับว่าตนเองป่วย จึงมักจะไม่ทานยาทำให้อาการกำเริบซ้ำบ่อยๆ จนยากที่จะรักษาให้อาการดีขึ้น ดังนั้นญาติจะต้องเป็นผู้ดูแลเรื่องการจัดยาให้ผู้ป่วยทานอย่างสม่ำเสมอ อาจบอกผู้ป่วยว่าเป็นยาบำรุงต้องทานต่อเนื่องทุกวัน หรือปรึกษาแพทย์ปรับเป็นยาน้ำที่สามารถละลายในน้ำดื่มหรือผสมในอาหารได้
Q: นอกจากเรื่องยา ญาติต้องช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างไรบ้าง
A: ญาติต้องช่วยเหลือผู้ป่วย ดังนี้
- ยอมรับ เข้าใจ ไม่ซ้ำเติม
- คอยกระตุ้นให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เช่น อาบน้ำ แต่งตัว ซักผ้า
- ให้ช่วยทำงานบ้านง่ายๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ ถูบ้าน ล้างชาม
- สนับสนุนให้ประกอบอาชีพเดิมที่เคยทำอยู่ตามความสามารถของผู้ป่วย เช่น ค้าขาย ทำสวน หรือให้ประกอบอาชีพใหม่ใกล้บ้านตามความถนัด
- หมั่นสังเกตพฤติกรรมผิดปกติเมื่อผู้ป่วยมีอาการกำเริบ ญาติต้องพาไปพบแพทย์ หรือพูดคุยกับนักจิตวิทยา
- พึงระวังพฤติกรรมการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยจิตเภท ด้วยการสังเกตพฤติกรรมเสี่ยง การจัดเก็บอุปกรณ์ที่อาจเป็นเครื่องมือให้ผู้ป่วยฆ่าตัวตาย