การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (Pacemaker Implantation) คือ การฝังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า “เพสเมกเกอร์” หรือเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเข้าไปในช่องอก โดยเครื่องจะทำหน้าที่คอยส่งสัญญาณไฟฟ้าไปยังหัวใจทำให้หัวใจเต้นได้ปกติ
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจคืออะไร?
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะเป็นกล่องขนาดเล็ก น้ำหนักประมาณ 20-50 กรัม ประกอบด้วยแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 8-10 ปี (ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่อง)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สำหรับเครื่องรุ่นใหม่ แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานสั้นกว่าเครื่องรุ่นเก่าเนื่องจากใช้พลังงานสูงกว่า โดยเครื่องจะเชื่อมต่อกับลวดสายไฟซึ่งเชื่อมต่อกับหัวใจ
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจทำงานอย่างไร?
ภายในเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจนั้นจะมีเครื่องสร้างกระแสไฟฟ้า เป็นวงจรไฟฟ้าระบบคอมพิวเตอร์ที่จะเปลี่ยนพลังงานจากแบตเตอรี่เป็นกระแสไฟฟ้า
กระแสไฟฟ้าจะไหลไปตามเส้นลวดและกระตุ้นการบีบตัวของหัวใจ โดยอัตราการส่งกระแสไฟฟ้าออกไปเรียกว่า “อัตราการสูญเสียประจุ (Discharge rate)”
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจในปัจจุบันสามารถตั้งโปรแกรมการทำงานและตั้งค่าอัตราการส่งกระแสไฟฟ้าได้
ถ้าหัวใจของผู้ป่วยเต้นช้าเกินไป หรือเต้นไม่ตรงจังหวะ เครื่องก็จะตรวจจับได้และส่งกระแสไฟฟ้าออกไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แต่หากหัวใจผู้ป่วยเต้นได้เองอย่างปกติ เครื่องก็จะไม่ส่งกระแสไฟฟ้าใดๆ
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจส่วนมากจะมีตัวตรวจจับ จดจำการเคลื่อนไหวของร่างกายและอัตราการหายใจของผู้ป่วย ทำให้เครื่องสามารถเพิ่มการส่งกระแสไฟฟ้าได้หากผู้ป่วยต้องออกแรง หรือใช้แรงมากขึ้นนั่นเอง
หมดปัญหาเหงื่อออกมากที่มืออย่างถาวร รักษาแล้วมือแห้ง ชีวิตง่ายขึ้น!
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / เบิกประกันได้ / ผ่อน 0% ได้ / ปรึกษาหมอก่อนผ่าตัดได้ไม่จำกัดครั้ง
เหตุใดผู้ป่วยถึงต้องใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ?
ทุกครั้งที่หัวใจเต้น หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะทั่วร่างกาย โดยมีกล้ามเนื้อหัวใจที่ถูกควบคุมโดยกระแสไฟฟ้าคอยบีบ หรือคลายตัวทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้อย่างปกติ
เมื่อไรก็ตามที่กระแสไฟฟ้าถูกรบกวนจากปัจจัยต่างๆ จะทำให้การไหลเวียนเลือดผิดปกติ นำไปสู่การเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกภาวะนี้ว่า "สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง (Heart block)"
สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวางจะเกิดขึ้นเมื่อมีสัญญาณไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจถ่ายทอดไปไม่ได้ จนทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวาง
- มีการเสียหายของตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าหัวใจ (Sinus node) ทำให้หัวใจเต้นช้าลงอย่างผิดปกติ (Bradycardia)
- มีการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติ (Supraventricular tachycardia)
- ภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) คือหัวใจหยุดทำงาน และหยุดส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติ สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้เพียงพอ และยังช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
เครื่องกระตุกหัวใจแตกต่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอย่างไร?
เครื่องกระตุกหัวใจ (Implantable Cardioverter Defibrillator: ICD) มีหลักการทำงานคล้ายกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
เครื่องกระตุกหัวใจจะเป็นตัวส่งต่อคลื่นไฟฟ้าไปสู่หัวใจในขณะที่เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติที่คุกคามชีวิต เพื่อกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นในจังหวะปกติอีกครั้ง
เครื่องกระตุกหัวใจนิยมใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นได้
ปัจจุบันเครื่องมือสมัยใหม่จะมีทั้งเครื่องกระตุกหัวใจและเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจรวมกันในเครื่องเดียว
จะทราบได้อย่างไรว่า เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเหมาะสมกับเรา?
ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัด ทีมแพทย์จะประเมินผู้ป่วยก่อนว่า เหมาะสมกับการใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจหรือไม่
วิธีการที่นิยมใช้ เช่น การตรวจเลือด การเอ็กซเรย์ต่างๆ การสอบถามปัญหาสุขภาพทั่วไป ผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วย และประวัติการผ่าตัดที่ผู้ป่วยเคยได้รับ
การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ มี 2 วิธี คือ
1. การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจและลวดสายไฟผ่านทางหลอดเลือดดำไปสู่หัวใจ (Transvenous implantation)
เป็นวิธีที่แพทย์นิยมใช้ การผ่าตัดจะทำโดยการให้ยาชาเฉพาะที่ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บ มีขั้นตอนดังนี้
- หลังจากฉีดยาชาเฉพาะที่แล้ว แพทย์จะผ่าเปิดแผลความยาวประมาณ 5-6 เซนติเมตร บริเวณใต้กระดูกไหปลาร้า และใส่สายลวดไฟฟ้าเข้าสู่เส้นเลือดดำ
- แพทย์จะใช้เอกซ์เรย์ในการนำทางสายลวดไปสู่ห้องหัวใจและฝังอยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจ
- ปลายอีกด้านหนึ่งของสายลวดจะเชื่อมต่อกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง
- ระยะเวลาในการใส่เครื่องจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หรืออาจจะนานกว่านั้น หากผู้ป่วยใส่เครื่องชนิดที่มี 3 สาย (Biventricular pacemaker) หรืออาจมีการผ่าตัดหัวใจร่วมด้วยในขณะใส่เครื่อง
- ส่วนมากผู้ป่วยจะกลับบ้านได้ภายในวันเดียว
2. การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจในเยื่อหุ้มหัวใจ
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งแต่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก วิธีนี้จะใส่สายลวดข้างหนึ่งบนผิวชั้นนอกของเยื่อหุ้มหัวใจชั้นอีพิคาร์เดียม (Epicardium)
ส่วนมากวิธีนี้มักใช้ในผู้ป่วยเด็ก หรือผู้ป่วยที่มีการผ่าตัดหัวใจพร้อมกับการผ่าตัดใส่เรื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจวิธีนี้ ผู้ป่วยจะถูกให้ยาสลบ โดยแพทย์ผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงในการผ่าตัด และการฟื้นตัวของผู้ป่วยจะใช้เวลามากกว่าวิธีใส่ปกติ
วิธีการทดสอบและตั้งค่าเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
เมื่อใส่สายลวดไฟฟ้าเข้าที่แล้ว ก่อนที่จะเชื่อมสายเข้ากับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ แพทย์จะทดสอบการทำงานของเครื่องว่า สามารถกระตุ้นการเต้นของหัวใจได้อย่างเหมาะสมหรือไม่
หลังจากนั้น แพทย์จะเชื่อมต่อสายลวดไฟฟ้าเข้ากับลวดสายไฟและตั้งค่ากระแสไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อการกระตุ้นการเต้นของหัวใจของผู้ป่วย
การฟื้นตัวของผู้ป่วยจากการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
แพทย์จะติดตามการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจและอัตราการเต้นของหัวใจได้ โดยการติดตามด้วยเครื่องติดตามชนิดพิเศษ (การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง)
เครื่องติดตามนี้ประกอบด้วยกล่องขนาดเล็ก เชื่อมด้วยสายลวดไฟฟ้าแปะลงบนหน้าอกของผู้ป่วย
แพทย์จะเอกซเรย์ช่องอก เพื่อตรวจสอบการทำงานของปอดและตำแหน่งของสายลวดไฟฟ้า
ขั้นตอนเหล่านี้ ผู้ป่วยอาจจะเกิดการเจ็บปวดหรือรู้สึกไม่สบายได้บ้างในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการทดสอบ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจะได้รับยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
นอกจากนี้ อาจมีแผลถลอกได้บ้างบริเวณที่มีการสอดลวดไฟฟ้า แต่อาการจะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน
การดูแลตัวเองหลังจากการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
- หลังจากใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ คุณสามารถกลับไปใช้ชีวิตเกือบปกติได้ทันที แต่ควรเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
- เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน คุณสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ และสามารถทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงหนักได้ เช่น การเล่นกีฬา
- คุณอาจจะรู้สึกหนัก และรู้สึกถึงเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจในร่างกายได้ แต่ไม่นานก็จะชินไปเอง
- คุณจะต้องเข้ารับการตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อตรวจสอบว่า เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจยังทำงานได้ปกติหรือไม่ และให้แพทย์เก็บข้อมูลการเต้นของหัวใจ เพื่อติดตามภาวะการทำงานของหัวใจ
- เครื่องใช้ภายในบ้านเกือบทุกชนิด (รวมถึงเครื่องไมโครเวฟ) ไม่รบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
- การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจถือว่า มีความปลอดภัยและมีความเสี่ยงที่จะก่อให้โรคร่วมน้อยลง
- ข้อควรดูแลเป็นพิเศษคือ การรักษาให้เครื่องทำงานอย่างปกติ ลวดสายไฟจะต้องอยู่ตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง ในบางครั้ง แพทย์สามารถตั้งโปรแกรมใหม่ให้แก่เครื่องได้เพื่อที่จะซ่อมแซมการส่งสัญญาณ
Q&A
คำถาม: หลังจากการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจสามารถกลับบ้านได้เลยหรือไม่?
คำตอบ: ส่วนมากการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจจะเสร็จเรียบร้อยภายในวันเดียว หากไม่มีเหตุขัดข้องเกิดขึ้น ผู้ป่วยก็สามารถกลับบ้านได้ โดยจะได้รับคู่มือการใช้เครื่องเครื่องกระตุ้นหัวใจและบัตรประจำตัว ซึ่งผู้ป่วยควรพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจสามารถขับรถได้หรือไม่?
คำตอบ: ผู้ป่วยสามารถกลับมาขับรถได้ภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (กรณีที่ไม่มีอาการข้างเคียง เช่น วิงเวียน ปวดศีรษะ) แต่หากต้องขับรถขนาดใหญ่ เช่น รถขนส่งผู้โดยสาร อาจต้องรอถึง 6 สัปดาห์หลังจากใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
คำถาม: ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกว่า เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจทำงานอยู่ในร่างกายหรือไม่?
คำตอบ: ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจได้ แต่ก็จะชินไปเอง
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะเป็นปกติเมื่อใด?
คำตอบ: ผู้ป่วยควรกลับมารู้สึกปกติได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรเลี่ยงการเอื้อมแขนข้างที่ได้รับการผ่าตัดอย่างน้อย 4 สัปดาห์ เลี่ยงการเอื้อมในที่นี้ เช่น เลี่ยงการตากผ้า การหยิบของจากที่สูง อย่างไรก็ตาม ควรขยับแขนข้างที่ได้รับการใส่เครื่องอยู่เสมอ
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะกลับมาออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาได้เมื่อใด?
คำตอบ: พยายามเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังจากการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ หลังจากนั้น ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายและเล่นกีฬาได้
อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีการกระแทก เช่น เลี่ยงการเล่นฟุตบอล หรือรักบี้ และหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้กำลังมาก
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจควรดูแลรักษาแผลอย่างไร?
คำตอบ: ไม่ควรทำให้แผลเปียกจนกว่าจะตัดไหมแล้ว หลังจากนั้นเลี่ยงการเสียดสีบริเวณแผล ผู้ป่วยหญิงอาจต้องเปลี่ยนเสื้อชั้นในให้สายมีขนาดใหญ่ขึ้นและควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนแสงแดดภายในปีแรก เนื่องจากอาจทำให้เกิดแผลเป็นที่มีสีเข้มขึ้นได้
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจต้องตัดไหมเย็บออกหรือไม่?
คำตอบ: การตัดไหมจะขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่แพทย์ใช้ โดยมากแพทย์จะใช้ไหมละลายซึ่งจะละลายหายไปได้เอง ก่อนผู้ป่วยจะกลับบ้านแพทย์จะแจ้งให้ทราบว่า ใช้ไหมชนิดใดและจะแจ้งให้ทราบว่า ต้องกลับมาตัดไหมออกหรือไม่
ส่วนมากถ้าต้องตัดออกจะตัดออกภายใน 10 วัน หลังการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
คำถาม: ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจต้องรับการตรวจด้านใดบ้าง?
คำตอบ: ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจสอบเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ หลังจากการผ่าตัด 4 สัปดาห์ และตรวจการทำงานของเครื่องทุก 3-12 เดือน
หากหลังจากการผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจแล้วผู้ป่วยรู้สึกไม่ดีขึ้น หรือเครื่องไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นนัก ให้ไปพบแพทย์เพื่อปรับตั้งค่าเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจใหม่
คำถาม: เครื่องใช้ไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจหรือไม่?
คำตอบ: เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านส่วนมากไม่มีผลรบกวนเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้
- โทรศัพท์มือถือ มีความปลอดภัยต่อผู้ป่วย แต่ควรเก็บให้ห่างจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
- เครื่องตรวจสอบความปลอดภัย เครื่องสแกนภายในสนามบิน หรืออุปกรณ์กันขโมยในห้างสรรพสินค้าต่างๆ อาจรบกวนการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจได้ ผู้ป่วยจะสามารถเดินผ่านเครื่องได้แต่ต้องผ่านอย่างรวดเร็ว และควรแจ้งพนักงานรักษาความปลอดภัยด้วยว่า ท่านมีเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจในร่างกาย
- เครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ ผู้ป่วยต้องไม่ผ่านเครื่องเอ็มอาร์ไอ เพราะจะส่งผลต่อการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ เนื่องจากเครื่องสแกนมีคลื่นแม่เหล็กอยู่ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอที่ปลอดภัยต่อผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ก่อนว่า ตนมีเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอยู่ในร่างกาย
- การสลายนิ่ว (Lithotripsy) ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยนิ่วในไต
คำถาม: ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเมื่อใด?
คำตอบ: เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมีอายุแบตเตอรี่ประมาณ 8-10 ปี หลังจากนี้ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ รวมถึงเปลี่ยนเครื่องภายในด้วย โดยการผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นเพียงขั้นตอนสั้นๆ ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
คำถาม: ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจติดตามผลเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจบ่อยเพียงใด?
คำตอบ: ผู้ป่วยจะได้รับการนัดตรวจติดตามไปตลอดชีวิต โดยจะนัดทุกๆ 3-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดและการทำงานของเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
ระหว่างการตรวจติดตามแพทย์จะประเมินและตรวจสอบอัตราการสูญเสียประจุ ตรวจสอบความแรงของกระแสไฟฟ้า และตรวจสอบผลการทำงานของหัวใจ
คำถาม: การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมีผลต่อกิจกรรมทางเพศหรือไม่?
คำตอบ: ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปกติ แต่ควรพูดคุยกับคู่รักให้เข้าใจเรื่องรอยแผลเป็น และทำความเข้าใจว่า ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ปกติ
คำถาม: การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจมีความเสี่ยงไหม?
คำตอบ: นอกจากการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะมีประโยชน์มากมายแล้ว ยังมีความเสี่ยงอยู่ด้วย ดังนี้
- การติดเชื้อ
ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อในบริเวณที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ หรือบริเวณเส้นเลือดได้ แต่มีความเสี่ยงต่ำมาก (อัตราส่วนราว 1 ใน 100 ของคนที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ )
อาการติดเชื้อมีดังนี้ มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า เจ็บปวด หรือแดงบริเวณที่ใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ บางครั้งบริเวณนั้นอาจจะมีความร้อนเนื่องจากมีการปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาได้
หากผู้ป่วยรู้สึกว่า อาจจะติดเชื้อควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา ป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ และเลือด
- การทำงานของเครื่องผิดปกติ
จะเกิดขึ้นได้ใน 1 ต่อ 250 ของคนที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอาจเกิดการทำงานผิดปกติได้ ถ้าสายลวดหลุดจากตำแหน่ง หรือแบตเตอรี่สำหรับส่งประจุไฟฟ้าผิดปกติ หรือวงจรไฟฟ้าในเครื่องผิดปกติ เนื่องจากผ่านสนามแม่เหล็ก หรือโปรแกรมในเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจติดตั้งผิดปกติ
สัญญาณเตือนว่า เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจอาจทำงานผิดปกติคือ มีอาการหัวใจเต้นเร็ว หรือช้าผิดปกติ ปวดศีรษะ สะอึก และหน้ามืดเป็นลม ถ้าหากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนเครื่อง หรือติดตั้งโปรแกรมใหม่
- ทวิดเลอร์ซินโดรม (Twiddler’s syndrome)
คือ อาการที่เกิดจากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจทำงานผิดปกติ เนื่องจากเครื่องเคลื่อนจากตำแหน่งปกติโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว วิธีการแก้ไขคือ ฝังและเย็บตัวเครื่องเข้ากับกล้ามเนื้อรอบๆ ให้มั่นคงยิ่งขึ้น
แม้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจจะช่วย "ยืดอายุ" ผู้ป่วยโรคหัวใจบางประเภทได้ แต่การป้องกันตนเองไม่ให้เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจประเภทไหนเลย ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งคุณสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้สด ไขมันดี (ไขมันไม่อิ่มตัว) หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว ไขมันดัดแปลง ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกาย ไม่เครียด และพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดูแพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจและสมรรถภาพหัวใจ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่ หรือไม่พลาดทุกการอัปเดตแพ็กเกจต่างๆ เมื่อกดเป็นเพื่อนทางไลน์ @hdcoth และกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android