โรคมะเร็งโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) เกิดขึ้นหลังโพรงจมูกซึ่งอยู่ด้านหลังของจมูกและบริเวณเหนือช่องคอใต้ฐานของสมอง
ทั้งนี้โพรงจมูกจะเป็นทางผ่านเข้าออกของสารบางอย่างที่เข้าสู่ร่างกายของเรา เช่น ควันมลพิษ ควันบุหรี่
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
สาเหตุของโรคมะเร็งโพรงจมูก
- เกิดจากกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ ซึ่งโรคมะเร็งโพรงจมูกมักจะพบมากในคนเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ฮ่องกง และจะพบในผู้ป่วยเพศชายมากกว่าผู้ป่วยเพศหญิงถึง 3 เท่า
- เกิดจากเชื้อไวรัสเอ็บสไตบาร์ (Ebstein Barr Virus: EBV) หรือสารไนโตรซามีน (Nitrosamines) ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง พบมากในใบยาสูบในบุหรี่ อาหารหมักดอง อาหารปิ้งย่าง ปลาเค็ม ปลาร้า ฝุ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม สารฟอร์มาดีไฮด์ (Formaldehyde) และควันไฟ
พยาธิสภาพและระยะของโรคมะเร็งโพรงจมูก
พยาธิสภาพ หรือความผิดของร่างกายเมื่อเกิดโรคมะเร็งโพรงจมูกมักจะเป็นชนิดสเควมัสเซลล์ (Squamous cell carcinoma) ซึ่งเป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้เป็นอันดับ 2 ของโรคมะเร็งผิวหนังทั้งหมด
ส่วนในเด็กและวัยรุ่นมักพบเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่สามารจำแนกชนิดได้ (undifferentiated carcinoma)
เชื้อมะเร็งโพรงจมูกจะเริ่มเกิดที่ชั้นใต้เยื่อเมือกบริเวณด้านข้างของหลังจมูกและผนังคอด้านหลังก่อน จากนั้นจึงจะลุกลามออกไปส่วนอื่น
ระยะของมะเร็งหลังโพรงจมูก
- ระยะที่ 1 (T1) ก้อนมะเร็งยังอยู่ภายในโพรงจมูกข้างเดียว หรือยังไม่เห็นก้อนเนื้องอก แต่หากมีการตรวจชิ้นเนื้อก็จะได้เป็นผลบวก
- ระยะที่ 2 (T2) ก้อนมะเร็งอยู่เต็มภายในหลังโพรงจมูกทั้งด้านข้างและด้านหลัง
- ระยะที่ 3 (T3) ก้อนมะเร็งลุกลามไปถึงช่องจมูกและช่องคอ รวมถึงได้เข้าไปอยู่ภายในโพรงหลังจมูกแล้ว แต่ต่อมน้ำเหลืองข้างคอด้านที่เป็นมะเร็งยังโตไม่เกิน 3 เซนติเมตร
- ระยะที่ 4 (T4) ก้อนมะเร็งลุกลามไปยังกะโหลกศีรษะ เส้นประสาทสมอง และผู้ป่วยอาจมีภาวะต่อมน้ำเหลืองโตด้วย หรือเชื้อมะเร็งได้กระจายไปสู่อวัยวะอื่นที่อยู่ไกลกว่านั้นแล้ว รวมทั้งกระจายไปยังต่อมข้างคอด้วย
การแบ่งลักษณะและขนาดของโรคมะเร็งโพรงจมูก
- ระยะ N1 หมายถึง ต่อมน้ำเหลืองโตข้างเดียวกับที่เกิดก้อนมะเร็ง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3 เซนติเมตร
- ระยะ N2 หมายถึง ต่อมน้ำเหลืองโตข้างเดียวกับที่เกิดก้อนมะเร็ง อาจโตเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 3 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 6 เซนติเมตร
- ระยะ N3 หมายถึง ต่อมน้ำเหลืองโตมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 6 เซนติเมตรไปแล้ว
อาการของผู้ป่วยโรคมะเร็งโพรงจมูก
อาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคมะเร็งโพรงจมูกจะคล้ายกับอาการหวัด นั่นคือมีอาการ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงและไม่ได้เข้าตรวจรับการวินิจฉัยอย่างละเอียด
กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งโพรงจมูก เชื้อมะเร็งก็ได้ลุกลามไปไกลจนยากแก่การรักษาแล้ว
ลำดับการเกิดโรคของผู้ป่วยเมื่อเชื้อมะเร็งลุกลามไปแล้ว จะเป็นดังต่อไปนี้
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
- มีอาการคัดจมูกคล้ายกับเป็นหวัดเรื้อรังรักษาไม่หายแต่ไม่มีน้ำมูก ต่อมาอาจมีเลือดกำเดาไหล มีมูกปนหนอง มีเสมหะปนเลือดตามมา
- เมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดโตขึ้นจนเข้าไปอุดตันภายในจมูก ผู้ป่วยจะมีเสียงที่เปลี่ยนไป รวมทั้งพูดไม่ชัดในบางคำ โดยเฉพาะคำที่ต้องออกเสียงตัวอักษร “ม” “น” “ง” ซึ่งเป็นอักษรที่ออกเสียงต้องผ่านช่องจมูก
- ผู้ป่วยจะพบต่อมน้ำเหลืองใต้กกหูโต ต่อมน้ำเหลืองหลังติ่งหูโต มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง กดไม่เจ็บ และจะค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ อีก
- เมื่อก้อนมะเร็งโตมากขึ้นอีก จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงหนักขึ้น เช่น
- รู้สึกปวดร้าวไปที่หู อาจมีอาการหูอื้อข้างเดียวด้วย รวมถึงฟังเสียงไม่ชัด เนื่องจากก้อนมะเร็งที่โตขึ้นได้ไปกดทับรูเปิดของท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube) จนทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการได้ยิน
- มีน้ำในหูชั้นกลาง ทำให้หูชั้นกลางอักเสบ
- อาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย เนื่องจากก้อนมะเร็งได้ลุกลามไปกดเส้นประสาทที่ 6 ใต้ฐานสมอง และทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพซ้อน
- หนังตาผู้ป่วยตก มีอาการปวดฟัน เป็นอัมพาตในส่วนของกล้ามเนื้อหน้า
- มีอาการอื่นๆ ตามอวัยวะต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เป็นไข้ ปวดบริเวณบั้นเอว มีอาการไอ หอบ ท้องอืด ตัวเหลือง ตาเหลือง
นอกจากควรหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองบ่อยๆ แล้ว วิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆ คือการตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายวัยใดก็ตามก็ล้วนมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งได้
หรือหากต้องการลงลึกในรายละเอียดการตรวจเกี่ยวกับการคัดกรองโรคมะเร็งโดยตรง โรงพยาบาลหลายแห่งก็มีบริการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเช่นกัน ทั้งตรวจคัดกรองมะเร็งมะเร็งทั่วไป ตรวจคัดกรองมะเร็งมะเร็งในผู้หญิง และตรวจคัดกรองมะเร็งมะเร็งในผู้ชาย
การวินิจฉัยโรคมะเร็งโพรงจมูก
- แพทย์จะมีการซักประวัติผู้ป่วยว่ามีอาการปวดศีรษะ คัดจมูก อ่อนเพลีย มีน้ำมูกและมีเลือดกำเดาไหลหรือไม่ หรือผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นและการได้ยินร่วมด้วยหรือไม่
- มีการตรวจพบก้อนมะเร็ง ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักตัวลดลง
- ตรวจดูขนาดของก้อนมะเร็งและการลุกลามของมะเร็งโดยการถ่ายภาพรังสี เช่น
- การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan (Computerised Tomography)
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging)
- ตรวจดูชนิดของเซลล์มะเร็งโดยตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy)
- ตรวจประเมินดูภาวะซีด เช่น ตรวจเลือดดูระดับฮีโมโกลบิน (Hb) เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell: WBC) เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell: RBC) เกล็ดเลือด (Platelets)
การรักษา
สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในมะเร็งระยะ 2 และ 3 การใช้รังสีรักษาจะได้ผลดีที่สุด และจะครอบคลุมทั้งก้อนมะเร็งต้นกำเนิดและต่อมน้ำเหลืองที่โต ผู้ป่วยบางรายอาจใช้การฝังแร่ร่วมด้วยหากเป็นในระยะ 3 หรือ 4 หรือมะเร็งลุกลามไปยังบริเวณคอ หรือต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 6 เซนติเมตรแล้ว
นอกจากการใช้รังสีบำบัดแล้ว แพทย์มักนิยมใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการใช้รังสีรักษา หรือให้ก่อน หรือหลังการใช้รังสีรักษาก็ได้ เช่น ซิสพลาทิน (Cisplatin) ฟลูออโรยูราซิล 5 (5-Fluouracil: 5-FU)
แต่หากผู้ป่วยบางรายเมื่อรักษาด้วยการฉายรังสีแล้วต่อมน้ำเหลืองไม่ยุบลง แพทย์จะรักษาโดยการผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด
นอกจากนี้ยังมีการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์พีดีที (Photodynamic Therapy: PDT) โดยแพทย์จะฉีดสารไวแสง (Photesensitizer) เข้าทางหลอดเลือดดำ
ตรวจมะเร็งทั่วไปวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 340 บาท ลดสูงสุด 64%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!
จากนั้นเซลล์ในร่างกายที่เป็นเซลล์มะเร็งก็จะจับกับสารไวแสงไว้และเรืองแสงเป็นสีแดง (Red flurorescent) ส่วนเซลล์ในร่างกายที่เป็นปกติจะขับสารไวแสงออกไปภายใน 2-3 วัน
หลังจากนั้นแพทย์จึงจะยิงแสงเลเซอร์ไปยังเซลล์มะเร็งที่จับกับสารไวแสง ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลาย ซึ่งข้อควรระวังของการรักษาแบบนี้คือ หลังจากฉีดสารไวแสงแล้ว ผู้ป่วยจะต้องไม่ถูกแสงแดดเป็นเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
การพยาบาล
ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งโพรงจมูกจะต้องคำนึงถึงการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยปรับตัวต่อการวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งรู้จักวิธีดูแลผู้ป่วย ในระหว่างที่ผู้ป่วยกำลังได้รับรังสีรักษาและเคมีบำบัด ตลอดจนช่วยเหลือในการปรับตัวต่ออาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษา เช่น
- ให้ยาแก้ปวด
- ให้อมน้ำยาที่มียาชาไซโลเคน วิสเชียส (Xylocaine viscous) เพื่อบรรเทาอาการปวดบริเวณช่องปากและคอ
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- รักษาความสะอาดในช่องปากโดยให้กลั้วปากและคอด้วยน้ำเกลือ
- แนะนำให้ผู้ป่วยจิบน้ำบ่อยๆ หรือใช้น้ำลายเทียมเพื่อลดอาการปากแห้ง ซึ่งอาการปากแห้งจะเกิดได้ตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์แรกของการฉายรังสีและหลังหยุดฉายรังสีอีกหลายสัปดาห์
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอเพื่อขับเอาเซลล์ที่ถูกทำลายจากการฉายรังสีหรือใช้เคมีบำบัดออกมา
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารอย่างเพียงพอ หากผู้ป่วยรับประทานอาหารไม่ได้เพราะเจ็บแผนในปากมาก ควรให้อาหารอ่อน รสไม่จัด และให้ยาแก้ปวดกับผู้ป่วยก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง หากผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรือเบื่ออาหาร อาจต้องให้อาหารทางสายยาง หรือทางหลอดเลือดดำแทน
มะเร็งเป็นเหมือนภัยเงียบ ไม่ค่อยแสดงอาการใดๆ เราจึงมักพบว่า มะเร็งหลายชนิดกว่าจะตรวจพบก็มักเข้าสู่ระยะกลางๆ เกือบท้ายแล้ว ซึ่งโรคมักจะมีอาการรุนแรงและลุกลามไปยังอวัยวะและเนื้อเยื่อข้างเคียงมากแล้ว
นั่นทำให้การรักษามักไม่ได้ผลเท่าที่ควร และทำให้โอกาสหายเป็นปกติลดน้อยลงจนแทบจะเป็นศูนย์
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หากมีอาการผิดปกติที่เรื้อรัง รักษาไม่หายเสียที ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
หรือหากเป็นผู้มีข้อบ่งชี้ว่า "เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง" เช่น มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง ทำงาน หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง ก็ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งบ้าง
เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจตรวจคัดกรองมะเร็งทั่วไป จากคลินิกและโรงพยาบาลใกล้คุณ และไม่พลาดทุกการอัปเดตเรื่องสุขภาพและโปรโมชั่นเมื่อกดดาวน์โหลดแอป iOS และ Android
แผลพุงพองตามร่างกายเรื้อรังเกิดจากไขมันในเลือดสูงหรือไม่