การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเกิดขึ้นเมื่อผู้ที่ยังไม่เคยมีเชื้อ หรือยังไม่มีภูมิต้านทานต่อโรค สัมผัสสารคัดหลั่งต่างๆ เช่น เลือด อสุจิ จนทำให้เกิดการอักเสบของตับ เรียกว่า “โรคตับอักเสบ”
ผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีอาการขณะติดเชื้อ แต่บางคนอาจมีอาการ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ตัวเหลืองตาเหลือง และอ่อนเพลีย โดยมักเกิดภายใน 3 เดือนแรกหลังจากรับเชื้อ
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ข้อมูลจาก National Institutes of Health (NIH) ระบุว่า ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักสามารถกำจัดเชื้อ และหายจากโรคได้ด้วยตนเองภายใน 2-3 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน หากติดเชื้อนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป จะถือว่าเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง ซึ่งจะต้องใช้ยาต้านไวรัสหลายชนิดในการรักษา แต่อาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การรักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน
ไม่มียา หรือการรักษาเฉพาะเจาะจงใดๆ ต่อภาวะนี้ หากมีอาการของโรค อาจรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ดังนี้
- หยุดพัก
- ดื่มน้ำ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการอาเจียน ท้องเสีย หรือมีไข้
- รับประทานอาหารให้ครบหมู่
อาการปวดและมีไข้ สามารถใช้ยาแก้ปวดลดไข้ที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยยาในกลุ่มเอ็นเสด (Non steroidal anti Inflammatory: NSAID) หรือที่เรียกว่า ยาแก้อักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบรูโปรเฟน (Ibuprofen) จะปลอดภัยกว่ายาพาราเซตตามอลสำหรับภาวะนี้
หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยต้องไปโรงพยาบาล เพราะอาจจำเป็นต้องได้รับน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และยาแก้ปวดที่แรงขึ้น
การรักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง
สำหรับภาวะเรื้อรัง สามารถรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัส ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่การกำจัดเชื้อให้หมดไป แต่เป็นการลดการทำลายตับจากไวรัส และช่วยป้องกันผลแทรกซ้อนจากการเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง โดยเฉพาะมะเร็งตับ และโรคตับแข็ง
ยาที่ใช้รักษาภาวะตับอักเสบบีเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ยากลุ่มโปรตีนสังเคราะห์ และยากลุ่มนิวคลีโอไซด์ อนาล็อก (Nucleoside Analogues)
ปรึกษาเภสัช สั่งยา ฟรีค่าส่งทั่วประเทศ*
แชทกับเภสัชกรฟรี! 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน พร้อมรับส่วนลดค่ายา 5% HDmall ออกค่าส่งให้สูงสุด 40 บาท
ยากลุ่มโปรตีนสังเคราะห์ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างโปรตีนในเลือดให้ต่อสู้กับไวรัส แบคทีเรีย เซลล์มะเร็ง และสารอื่นๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย อนึ่ง ยาเหล่านี้อาจไม่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีในบางประเทศ โดยมี 2 ลักษณะการออกฤทธิ์ คือ
- ยาออกฤทธิ์สั้น ได้แก่ Roferon-A (Interferon Alfa-2A) และ Intron-A (Interferon Alpha 2-B)
- ยาออกฤทธิ์ยาว ได้แก่ Pegasys (Peginterferon Alpha 2A) และ Pegintron (Peginterferon Alpha 2-B)
ยากลุ่มนิวคลีโอไซด์ อนาล็อก มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่แบ่งตัว (Reverse Transcriptase) ทำให้ไวรัสในร่างกายลดจำนวนลง ได้แก่
- Hepsera (Adefovir)
- Baraclude (Entecavir)
- Epivir (lamivudine)
- Tyzeka (Telbivudine)
- Viread (Tenofovir)
ข้อมูลจากองค์กรอนามัยโลก กล่าวว่า Baraclude (บาราคลูด) และ Viread (ไวรีด) เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในกลุ่มยานิวคลีโอไซด์ อนาล็อก และเกิดการดื้อยาน้อย
ยารักษามะเร็งสามารถรักษาภาวะตับอักเสบบีเรื้อรังได้
ในปี 2015 นักวิจัยพบว่า ยารักษามะเร็ง "Birinapant (บิรินาแพนท์)" สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้หมดในสัตว์ทดลองที่ติดเชื้อ โดยอ้างจากงานวิจัยสองฉบับที่ศึกษาโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (ข้อมูลจากนิตยสาร National Academy of Sciences) โดยยาจะเพิ่มประสิทธิภาพทำให้ตับสามารถกำจัดเชื้อได้เร็วขึ้นถึงสองเท่าเมื่อใช้ร่วมกับ Baraclude อย่างไรก็ตามยังต้องมีการทดลองทางคลินิกเพิ่มเติมว่า ยา Birinapant ตัวเดียวจะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้หรือไม่
การปลูกถ่ายตับสำหรับโรคไวรัสตับอักเสบบี
โรคไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรังอาจทำลายตับ และนำไปสู่ภาวะตับวายได้ ซึ่งเป็นภาวะสุดท้ายของโรค (ตับไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป)
อาการแสดงภาวะตับวาย ได้แก่
- คัน
- มีเส้นเลือดขอด (ลักษณะคล้ายแมงมุมบนผิวหนัง)
- มีจ้ำเลือดง่าย และเลือดหยุดช้า
- ท้องบวมโต หรือข้อเท้าบวม
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยโรคตับระยะสุดท้ายเข้าคิวรอรับการบริจาคตับ ทีมศัลยแพทย์จะเป็นผู้ผ่าตัดเปลี่ยนตับ โดยจะนำตับเดิมออกแล้วปลูกถ่ายตับใหม่เข้าไปแทน ซึ่งเป็นหัตถการที่ยุ่งยาก และต้องอาศัยความชำนาญสูง ถึงแม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับแล้ว แต่การติดเชื้อไวรัสตับก็ยังคงมีโอกาสอยู่ ตับที่ได้รับการปลูกถ่ายอาจติดเชื้อไวรัสอีกก็ได้ จึงต้องระมัดระวังและดูแลตับเป็นพิเศษ
บทความที่เกี่ยวข้อง
รู้จักวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี