เมื่อคุณแม่ทราบว่าตอนนี้มีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมาในตัวของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกๆ อย่างจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอาหารที่แม่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อ นั่นหมายถึงสุขภาพของทารกในครรภ์ที่กำลังจะลืมตาดูโลกเลยทีเดียวค่ะ มีการสำรวจว่าคุณแม่ที่กินอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์สุขภาพของเด็กจะไม่แข็งแรงถึง 92% และเด็กทารกอาจจะตายในครรภ์สูงถึง 65% ที่เหลือคลอดก่อนกำหนดบ้าง ร่างกายไม่สมบูรณ์ พิการบ้าง ดังนั้นคนที่ตั้งครรภ์จึงควรใส่ใจในเรื่องโภชนาการอย่างมาก คุณแม่ควรทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่เสมอ
คำแนะนำเกี่ยวกับอาหาร ที่คุณแม่ควรคำนึงเมื่อตั้งครรภ์
- หากคุณแม่อดอาหารมื้อใดก็ตามนั่นหมายถึงทารกในครรภ์ก็อดอาหารไปด้วย เนื่องจากทารกในครรภ์จะได้รับอาหารที่คุณแม่กินมื้อต่อมื้อ หากคุณแม่อดอาหารมื้อใด ทารกก็จะอดอาหารด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอาหาร ไม่ว่าจะหิวหรือไม่ก็ตามเราก็ควรกินอะไรบ้าง
- ควรใส่ใจและเลือกกินอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารและพลังงานครบถ้วนตามที่ร่างกายเราและทารกต้องการ โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินความจำเป็น ไม่ควรรับประทานขนมหวาน หรืออาหารที่ไมมีประโยชน์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาเสพติดต่างๆ
- คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ควรได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 60-100 กรัมต่อวัน ซึ่งจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ อาจจะเน้นอาหารประเภทเนื้อปลานึ่ง ย่างเพื่อให้ได้โปรตีนที่ย่อยง่ายและเพียงพอต่อความต้องการ
- ควรกินอาหารที่มีวิตามินซีมากหน่อย เพราะวิตามินซีเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้ ต้องกินทุกวัน และวิตามินซีถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน แสงแดด และการเก็บไว้นานๆ ดังนั้นการกินวิตามินซีจะต้องกินสดๆ เช่น การรับประทานผลไม้สดๆ เป็นต้น
- เสริมแคลเซียมให้พอ เพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องรับแคลเซียมอย่างน้อย 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากทารกในครรภ์ต้องการแคลเซียมเพื่อไปสร้างกระดูกและฟัน หากแม่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ทารกในครรภ์จะไปดึงเอาแคลเซียมจากร่างกายของแม่ไปแทน ทำให้มีผลในระยะยาวคือแม่อาจกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้น
- เน้นผักใบเขียวและผักผลไม้สีเหลือง โดยคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารเหล่านี้วันละ 3 ส่วนเป็นอย่างน้อย ผักผลไม้เหล่านี้จะให้วิตามินเอ ในรูปของสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งใช้ในการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี วิตามินอี กรดโฟลิก และเกลือแร่ต่างๆ อีกมาก รวมถึงกากใยที่ช่วยลดอาการท้องผูกได้ นอกจากนี้ควรกินพืชผักผลไม้อื่นๆ วันละ 2 ชนิด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่อื่นๆ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม เป็นต้น
- หากคุณแม่มีปัญหาแพ้ท้อง ลองรับประทานอาหารประเภทธัญพืช และถั่ว เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ห์ ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ เพราะว่าอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่อุดมด้วยกากใย และวิตามินบี ที่ใช้ในการสร้างอวัยวะต่างๆ ของทารก และยังช่วยลดอาการแพ้ท้องรุนแรงได้อีกด้วย
- เน้นธาตุหล็กให้เพียงพอ เพราะธาตุเหล็กมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดให้กับทารกในครรภ์ การดูดซึมธาตุหล็กจะต้องใช้วิตามินซีเป็นตัวช่วย ดังนั้นจึงควรทานให้เพียงพอควบคู่กัน
- รับประทานไขมันที่มีประโยชน์บ้าง เพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์หลายท่านอาจจะกลัวว่าการทานไขมันอาจจะทำให้อ้วนและมีผลกับทารกในครรภ์จึงหลักเลี่ยง แต่ว่าไขมันในอาหารนั้นก็มีความจำเป็น เนื่องจากสารอาหารบางชนิดจะต้องมีไขมันเป็นตัวช่วยในการดูดซึม ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไขมันทั้งหมดจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย
- อย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ เพราะร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยน้ำ คุณแม่ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยในการหมุนเวียนของเลือดหรือของเหลวในร่ากาย ช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ลดอาการท้องผูก ลดความเสี่ยงการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ และปรับสมดุลเคมีในร่างกายเป็นต้น
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด ควรกินแค่เพียงพอประมาณ โดยทั่วๆ ไปแพทย์จะแนะนำให้จำกัดอาหารรสเค็มในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดการคั่งของน้ำในร่างกาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้งดโดยเด็ดขาด เพราะอย่างไรเกลือก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย อาจรับเพียงแค่ปรุงรสเค็มขณะที่กิน อย่าปรุงรสเค็มตอนหุงต้มอาหาร
- สำหรับอาหารเสริมเพื่อบำรุงการตั้งครรภ์ในรูปแบบเม็ดหรือผง ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องรับประทานก็ได้ หากได้รับสารอาหารที่เพียงพออยู่แล้วจากอาหารปกติ ดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่หากต้องการเสริม ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลครรภ์ก่อน เพราะอาหารเสริมบางชนิดนั้นอาจจะมีผลข้างเคียงได้
ฝากครรภ์ คลอดบุตรวันนี้ ที่คลินิกหรือรพ. ใกล้บ้านคุณ เริ่มต้นที่ 79 บาท ลดสูงสุด 65%
จองผ่าน HD ประหยัดกว่า / จ่ายทีหลังได้ / ผ่อน 0% ได้ / พร้อมแอดมินคอยตอบทุกคำถาม!